Pages

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ blog แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ blog แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคาร, เมษายน 21, 2558

[Blog] It's not a bug , It's a broken by design


ในการทำ software เรามักจะมีสำนวนขำขำไว้เป็นคำแก้ตัว ไว้บอกคนอื่น
อย่างเช่น "It is not a bug , It is a feature" หรือ คำศัพท์อื่นๆ ที่ยังนึกไม่ออกตอนนี้ #ฮา

แต่ถ้าเรามีสติแล้วมานั่งวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น 
ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดจากอะไร ... เราจะพบว่า
ปัญหาทุกปัญหาเกี่ยวกับ Software Development 
ส่วนใหญ่นั้นก็หลุดมาจากมือ Developer เองทั้งนั้นแหละ 

จะไม่ขอพูดถึงว่า User Requirement เปลี่ยนบ่อยก็กระทบ 
เพราะปัญหาพวกนั้น มี process พวก Agile มาประยุกต์ใช้อยู่แล้ว  
Blog นี้เลยขออุทิศให้เฉพาะ Dev เลยแล้วกัน

Broken by Design คืออะไร ?

ในความเห็นส่วนตัว ขอนิยามว่า "ผิดตั้งแต่คิดจะเริ่มแล้ว" 
เริ่มในที่นี้หมายถึง เริ่มลงมือในการออกแบบ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ระบบงานที่เป็น Legacy แล้ว การที่จะทำอะไรใหม่ๆ นั้น ควรจะรู้ workflow ที่เป็นไปได้ให้ได้มากที่สุดเสียก่อน เพราะบางทีการออกแบบอะไรใหม่ๆ จะไปกระทบกับสิ่งที่มีอยู่ หรือแม้แต่ Bug ที่เค้าซ่อนๆ ไว้ก็จะโผล่ออกมา
มั่นใจที่จะแก้ != เข้าใจที่จะทำ


สุดท้าย "มักง่าย" กับ "ขี้เกียจ" มันมีความหมายต่างกันนะ 
มักง่าย = ทำส่งๆให้เสร็จเป็นพอ
ขี้เกียจ = ทำครั้งเดียวไม่ต้องมาแก้บ่อยๆ

หลายๆ คนมักเข้าใจความหมาย quote ของ Bill Gate แบบผิดๆ
แล้วไม่ไปอ่านคำอธิบายว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น ...

ถ้าแยกแยะคำสองคำนี้ไม่ออก ... 
ก็อย่าไปทำมันทั้งคู่ เป็นทางออกดีที่สุดครับ :)

วันอังคาร, พฤษภาคม 07, 2556

[Blog] เท้าพลิก ... อย่าซ่า


ตอนนี้เป็นไอ้เป๋ อยู่ครับ ... เหตุเกิดจากความซุ่มซ่าม จนได้เรื่อง ...
เพราะตกบันไดสะพานลอยเพียง 1 ขั้น  ....

ที่มาเขียน Blog วันนี้ อยากจะไว้ย้ำเตือนความจำตัวเอง + คนที่ผ่านมา หน่อยว่า
เวลาหากเท้าพลิก อย่าคิดว่าเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นอะไร ... 
หาหมอรักษาดีที่สุด ครับ เพราะหากพลิกบ่อยๆ อาจจะแย่ได้ ... 
อย่างกรณีที่เป็นอยู่นี้  ... ต้องใส่เฝือกอ่อนไว้ 7 วันเลยทีเดียว  ...
ไม่สนุกเลยกับการใส่เฝือก ...
และไม่เคยรู้สึกว่าต้องไปหาหมอด้วยอาการหมดสภาพเช่นนี้ (นั่งรถเข็น)

เท่าที่ฟังหมอ วินิจฉัยอาการ และ เอารูปตรงที่หมอชี้ๆ มาเปิดเทียบกับในอากู๋  ...
case ที่โดน คือ Calcaneofibular Ligament ฉีก / อักเสบ ... ทั้งหมอ ทั้งบุรุษพยาบาล
บอกกันเป็นเสียงเดียวว่ากว่าจะหายขาด ก็ปาไป 4-5 อาทิตย์ แน่นอน ...
แต่ใส่เฝือกอ่อนระยะ 1 อาทิตย์ เพื่อให้มันสมานได้เร็วขึ้น ...

ผลที่ตามมาคือ ....

ผ่าง ....... evo เป็นไอ้เป๋
ก็ไม่รู้ว่า จะหายจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้เวลายาหมดฤทธิ์ก็ยังไม่หายปวด ( ขึ้นวันที่ 4 แล้ว )
หายไวก็ดี ... แต่หากหลังถอด คงต้องเลิกซ่า เป็นการถาวร ...

References :
http://men.kapook.com/view39232.html



วันพฤหัสบดี, มีนาคม 28, 2556

[Blog] ขี่ช้างจับตั๊กแตน

รูปจาก - http://ressources.learn2speakthai.net/thai-proverbs/ride-an-elephant-to-catch-a-grasshopper/

ตั้กแตน ที่ใครๆ ก็อยากได้ ...
การจะได้มาซึ่งตั้กแตน หนึ่งตัวนั้น มีได้หลายวิธี ...
แต่ละวิธี ก็มี "ค่าใช้จ่าย" ที่แตกต่างกันไป ...

บางครั้ง เวลาที่เราอยากได้ตั๊กแตน ตัวนั้นมากๆ ...
เรามักจะลืมนึกไปเสมอว่า สิ่งที่เราใช้จับตั๊กแตน นั้น มีค่าใช้จ่ายสูงเพียงไร

เราอาจจะมีทรัพยากรอย่างจำกัด หรือมีล้นเหลือ ... แต่เพื่อให้ได้ตั๊กแตนตัวนั้น ...
เราถึงกับยอม "จ่่าย" อย่างสุดตัว เพื่อให้ได้ตั๊กแตนตัวนั้นมา ....
เราอาจจะ "ซื้อ" เวลา ที่เราจะต้องเสียไปกับการจับตั๊กแตนโดยให้คนอื่นมาช่วยจับให้ ...
แต่เราอาจจะลืมนึกไปว่า หลังจากที่จับตั๊กแตนตัวนั้นได้แล้ว ...

เราจะทำอย่างไรกับมัน ... หรือแม้แต่มานั่งคิดว่า ตั๊กแตนตัวนั้น
ใช่สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้มาเหรอเปล่า ...

เราอาจคาดหวัง ตั๊กแตนที่มีปีกแบบพิเศษ
แต่สิ่งที่เราได้มากลับเป็นตั๊กแตนบ้านๆ ธรรมดา ...

แต่ในเมื่อเสีย "ค่าใช้จ่าย" แถมด้วยทรัพยากรที่ไม่หวนคืน อย่าง "เวลา"
ถูกใช้ไปแล้ว แต่กลับไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ... คงไม่ต่างกับ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน"

หากคิดจะจับตั๊กแตน .... ควรใส่ใจกับรายละเอียด หรือขั้นตอน
รวมไปถึงแหล่งที่อยู่ของตั๊กแตน ก่อนที่จะลงมือจับ  ...

แต่หากคิดจะไม่ศึกษา ...
สิ่งที่เราควรมีอย่างล้นเหลือ ก็คือ  "เวลา" เพื่อที่จะให้ลองผิดลองถูก ...

ว่าแต่ ... เราจะยอมจ่าย "เวลา"  มากมายขนาดนั้นเชียวหรือ ???

วันพุธ, พฤศจิกายน 21, 2555

[Blog] บ่นรวมๆ กับ iPhone Event ครั้งแรก และ ครั้งสุดท้าย



ด้วยความอยากได้ iPhone 5 ไวๆ เลยจัดจองไปล๊อตแรกครับ ...

ตอนแรกก็แอบหลงดีใจว่า process งาน คงจะ parallel กันไปเหมือนงาน event อื่นๆ ที่เคยไป
แต่ที่ไหนได้ .... ปล่อยให้นั่งรอในงานกลัวคนหนีกลับหมดหรือไงไม่รู้
ในใบจองเขียนไว้ สี่ทุ่ม ( 22.00 ) แต่กว่าจะได้เครื่องคือ ตี 3 - 4 ....
ขอโทษนะ ของก็ไม่ได้ฟรี เงินจองก็เสีย 
แล้วยังต้องมานั่งรอกับงาน event บ้าๆ แบบนี้ ....
ครั้งเดียวแล้วลาขาดเลยดีกว่า ....

บรรยากาศงานแบบอารมณ์เซเลป ดูได้ ที่นี่ ครับ
Event เดียวกันแต่เหมือนไปคนละงาน ...

------

สองวันก่อนไปรับเครื่อง ....
แอบหลงดีใจว่าจะได้เครื่องเร็ว ....
ยังพอเข้าใจได้ว่า รับเครื่อง 0:01 ...
แต่เค้าคงลืมบอกไปว่า เฉพาะ 100 คนแรก + เซเลปทั้งหลาย ที่มารับ ....




------


ณ วันจอง ... ไปต่อคิวรอตั้งแต่ 20.30 ... ภาพ ณ timestamp คือ 0:30 ...


------

ความพยายามไม่ลดละ ... ก็ไหนๆ มาจองแล้ว ... นั่งเฉยๆ เหมือนจะชิวดีนะ
แต่ง่วงแล้ว ... และเสียเวลามากถึงมากที่สุด ... น้ำตาจะไหลเมื่อถึงต้นแถว ... ภาพต่อไปนี้ 1:11



ตอนแรกแอบดีใจว่าจะได้เครื่องแล้ว แต่พอผ่านหลังม่านไป .... จำเป็นต้องผ่านอีก 2 ด่านคือ
ด่านจ่ายเงิน และ ด่านตรวจเครื่อง .... แต่ละด่าน ใช้เวลาด่านละ 2 ชั่วโมง ....
เหนื่อย ง่วง และหงุดหงิดมาก พอถึงด่านตรวจเครื่อง จากที่ง่วงๆ กลายเป็นว่า
ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ด้วยเหตุที่เครื่องที่รับมีปัญหา .... ดังต่อไปนี้

เครื่องแรก ... เป็นรอยรอบเครื่อง ... เห็นแล้วเพลีย ขอเปลี่ยน ....
เครื่องที่สอง ... จอเป็นรอยรูปตัว S เห็นได้ชัดเจน เพลีย++ ขอเปลี่ยน ....
เครื่องที่สาม ... จอเป็นรอยขนแมว ต้องส่องกับแสงถึงจะเห็น ... เริ่มหงุดหงิด ขอเปลี่ยน ....

พนักงานมาไซโคว่าให้เปิดได้อีก 2 เครื่องแล้วต้องเลือกเอาเครื่องใดเครื่องนึง
อยากจะวีนไปว่า "กรูก็ไม่อยากเปลี่ยนหรอกนะถ้าเครื่องไม่มีปัญหา"
แต่พยายามเก็บอารมณ์ไว้แล้วดูเครื่องต่อไป
เครื่องสุดท้าย ... อาการดีที่สุดในสี่เครื่อง 4.9 เต็ม 5 ก็เลยเอามา ...
กว่าจะ process เสร็จ ล่อไป ตี 4 .....

เทียบกับบรรดาเซเลปที่ได้กลับบ้านไปตั้งแต่ ตี 1 ตี 2 แล้ว ...
ช่างเป็นสองมาตรฐานเสียนี่กระไร

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  .... 

1. ถ้าอยากได้เครื่องเร็ว หรือ "อยากจะมาร่วมงาน Event แบบที่เป็น Event จริงๆ"
ต้องเป็นเซเลปหรือมีชื่อเสียงเป็นดารา เดอะสตาร์ เดอะว๊อยซ์ อะไรก็ว่าไป ( ให้คนจัดงานมาเชิญ​ )

2. ถ้าคุณไม่มีชื่อเสียง เป็นแค่คนธรรมดา ก็มีทางเลือกครับ โดยต้อง  "ทุ่มเท" ....
ลางานมานั่งจองคิวเป็นเรื่องเป็นราวไป

3. ถ้าไม่ได้สนใจงาน event แต่อยากได้ของเร็ว .... ก็ต้องทำตามข้อที่ 2

4. ถ้าสนใจแต่ของ อยากใช้เร็วๆ เงินไม่ใช่ประเด็น โปรโมชั่นจากค่ายไม่เกี่ยง ....
MBK คือคำตอบครับ

5. เงินมัดจำแพง .... ไตร่ตรองซักนิดก่อนคิดจะซื้อ เงินของเรา อย่าให้เขามาเอาเปรียบ ...

6. เพลีย และ เซ็ง กับงาน event ค่ายนี่ไปอีกนาน เจ็บแล้วต้องจำ
งานหน้าไม่มีอีกแล้วถ้าไม่เข้า criteria ด้านบน


สรุป ....

ถ้าเสียค่ามัดจำแค่ 1,000 เดียว ผมคงตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า
จะยอมเสียค่าโง่ของตัวเองที่เลือกจอง หรือ  จะมาเสียเวลากับการต่อคิวบ้าๆ แบบนี้



วันอังคาร, มิถุนายน 28, 2554

จด domain name 300 บาทได้อะไรจาก Google บ้าง ...

จริงๆ กะเขียน เปิดตัวเจ๋งๆ ... แต่นึกมุขไม่ออก
บวกกับงานที่ออฟฟิศ รุมเร้าจน Plan ที่วางไว้ทั้งหมด
เป็นอันต้องเลื่อนไปอีกเทอม ...

แต่ไม่เป็นไร ... ตอนนี้เอาเท่าที่ตัวเองคิดว่าทำไหวก่อนก็แล้วกัน ...
ไม่สามารถจริงๆ ...

เมื่อช่วงเดือนเกิด ที่ผ่านมาก็ได้จด Domain name "vavario.com" เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ...
ก็ใช้มาได้ซักพักนึงแล้ว ... แต่ยังไม่ได้แจ้งมิตรรักแฟนเพลงให้ทราบโดยทั่วหน้า ...
Comment เก่าๆ ที่ทำ link ไว้กับ Facebook ก็หายเกลี้ยงอันเนื่องมาจาก URL เปลี่ยน ...
ไม่สามารถ link กลับไปยัง Blogspot ได้อีก ... แต่ไม่เป็นไร เริ่มอะไรใหม่ๆ แทนแล้วกันเนอะ อิอิ

โดยส่วนตัวก็อยากทำ Blog ของตัวเองมานานแล้ว แต่ด้วยคำนวณงบหลายๆ อย่าง
อีกทั้งความขี้เกียจที่บางครั้ง หายไปเป็นเดือนๆ กว่าจะมา up blog ที ก็อาจจะทำให้เวปร้างได้ ...
จึงคิดไม่ตกกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปสำหรับค่าเช่า Hosting , ค่า Domain name ,
พื้นที่ที่มีจำนวนจำกัด และ Bandwidth ใน package ที่ Hosting
จัดให้ตามราคา ... ว่า เหมาะสมแล้วหรือยัง ....

แต่ด้วยจุดประสงค์การเขียน Blog ก็ไม่ได้หวังจะมี Profit อะไรมากมายอยู่แล้ว ....
แค่อยากมีพื้นที่ไว้บ่น .... ไว้ฮา ... นิดหน่อย ... :P

จึงได้เจริญรอยตาม @Khajochi ครับ โดยการเริ่มฝาก Blog ไว้กับ Blogspot
มาตั้งแต่แรกแล้ว (ฮา) :P :P

ข้อดีของการฝาก Blog ไว้กับ Blogspot ก็มีหลายอย่าง .... ขอไม่ลงลึกแล้วกัน ...
แต่การจด Domain name กับ Google ถ้าใช้ส่วนบุคคลที่ไม่ได้ต้องการ Security จ๋า
ก็ถือว่าเหลือเฟือมาก ...

Service ที่ได้ใช้ หลังจากจด Domain กับ อากู๋ มีดังต่อไปนี้ครับ

1. Gmail .... บน domain ของตัวเอง ... สะดวก + เป็นส่วนตัว
สำหรับ @ domainname ... ถ้าใช้ gmail อยู่แล้ว ก็เหมือนได้ พื้นที่เพิ่ม 10 Account ...

2. Google Site .... เอาไว้สำหรับทำเวป Site อื่นๆ ที่ไม่ใช่หน้าหลัก
(เพราะหน้าหลักผูกกับ Blogspot เรียบร้อยแล้ว) ดังตัวอย่าง .... http://portal.vavario.com :P

3. Google Doc ... เอาไว้เก็บเอกสาร .... ที่ต้องการ privacy ตังหาก นอกเหนือจาก doc ส่วนตัว ...

4. Domain Control Panel .... ไว้สำหรับคนที่ชอบเป็นปลาทอง ลืมนู่นลืมนี่
แม้แต่ Password เข้า Domain ... จากที่ทำไว้ คือ จด Domain กับ GoDaddy
แต่ Manage ผ่าน Google ยกเว้น Advance Setting จริงๆ ที่ต้อง redirect กลับไปยัง Godaddy เพื่อ config ....

5. App Engine .... ไว้สำหรับทำ App กากๆ ส่วนตัว :P ตอนนี้ยังไม่ได้ Plan ทำอะไรเยอะ ...
ไว้มี project จะนำเสนออีกทีครับ :)

เอาคร่าวๆ ทั้งหมด 5 ข้อ ก็ถือว่าคุ้มแล้วสำหรับแค่ค่าจด domain name 300 บาท ...
ซึ่งหากจะไปเช่า Hosting ก็ต้องเสียมากกว่านั้น แต่ด้วยตามจุดประสงค์ที่บอกตอนแรก ...
หากคิดจะทำ ธุรกิจ ... แนะนำให้เช่า Hosting หรือใช้บริการ App Engine จิงๆ จังๆ ไปเลย
เพราะคงดูไม่ได้ หากต้องการทำหน้าเวปหลักแล้ว
มีตรา Google หรือ ตรา Blogspot ขึ้นหราเป็นแน่แท้ :)

วันศุกร์, พฤษภาคม 06, 2554

Master Project #2 : Microsoft BI Platform


หลังจาก เดินทางไกล ไกล กันไปหนึ่งรอบ เพื่อไปหาข้อมูลมาทำ Master Project ...
ทีนี้ก็ถึงคราาวที่จะต้องมาเลือก Tool ที่ใช้ในการทำบ้าง ...
ด้วย Choice ที่มีอยู่ ทั้งปรึกษารุ่นพี่ รวมไปถึงจากที่เคยได้ทำงาน Outsource มาจากที่ทำงานเก่า
ก็พอรู้อยู่บ้างว่า Tool ที่ใช้ทำมีกี่ตัว อันได้แก่ ...

  1. Cognos
  2. Business Object
  3. QlikView
ด้วยความที่ software เหล่านี้ราคาค่อนข้างแพง การจะหามาเล่นเพื่อทำ master project
ก็ค่อนข้างมีเงื่อนไขเยอะ .... อันเนื่องมาจากลิขสิทธิ์ของ software .... และด้วยความที่ plan
ไว้ว่าจะใช้ MBP ในการทำ master project ครั้นจะลง window ก็คงจะโดนทั้ง Anti และ สาวก
ประนามแน่ๆ (ฮา) ก็เลยต้องหาทางออกสำหรับ เคสนี้ครับ ...

โดย software ลิขสิทธิ์ เหล่านี้ เค้าก็อนุญาต ให้ ลงตัวลิขสิทธิ์ได้ โดยมีสัญญาเขียนเป็นลายลักษณ์
อักษร แต่ก็ยอมรับว่าเงื่อนไขนั้นโหดมาก ยกตัวอย่างเช่น มีอายุของ software ประมาณ 6 เดือน
สำหรับ evaluate ซึ่งก็สมเหตุสมผล ในการ "ใช้งานเพื่อการศึกษา" แต่เท่าที่ถามรุ่นพี่มา
ส่วนใหญ่เกินๆ 6 เดือนทั้งนั้น (ฮา) ก็เลยค่อนข้างช่างใจอยู่พอสมควร อีกทั้ง ยังไม่อนุญาต
ให้ลงบน virtual machine ได้ด้วย ... นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนักอก เหมือนกัน .....

จนอยู่มาวันนึง ระหว่างที่กำลังเล่นอยู่บนเวป microsoft อยู่ดีๆ ก็ได้เจอ Banner ...
"PowerPivot + Office 2010 + SQL Server 2008 = Microsoft BI"
ก็เลยกดตามเข้าไปดูครับ ... และพบว่า ... Microsoft เองก็มี BI Tool เหมือนกัน ดังแสดงดังรูปข้างล่าง ...


จาก Application Stack ข้างบน จะเห็นได้ว่า Microsoft 
พยามใช้จุดแข็งของตัวเอง (Microsoft Office) เป็น Tool ที่เข้ามาช่วยใน
การทำ Business Intelligence ผูกเข้ารวมกับ Application Stack ใหญ่ๆ อย่าง 
Sharepoint Server .... ซึ่งอันที่จริง การที่จะใช้ BI ของ ​Microsoft นั้น 
ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ Sharpoint Server ก็ได้ 
หากแต่เป็น Requirement ของ Master Project จากฝั่งมหาลัย 
ที่จะต้อง นำข้อมูลมาใช้ในการแชร์กันระหว่างผู้ใช้ระบบได้ .... 
งานเลยงอกให้ต้องทำ Sharepoint ต่อ 
(เพราะพวก cognos หรือแม้แต่ BO ก็มี WebServer ของตัวเองด้วยเหมือนกัน)

อันด้วยความ ซื้อ Mac แต่ดันมาพัฒนา App ของ Microsoft 
ก็เลยต้องทำ Virtual Machine (ซึ่งกะไว้อยู่แล้ว)
แต่ที่นอกเหนือความคาดหมายหลักๆ นั่นคือ .... ​
Sharepoint เป็น ​Server ที่กิน Memory มหาศาล 
ก็เลยต้องเพิ่ม RAM ให้น้องแมค วิ่งไปที่ 8GB ...
ถ้ากินจุกว่านี้คงรันไม่ไหวแล้วเหมือนกัน - -''

และด้วยความโชคดี ที่ทางมหาลัยมี Account Microsoft Academic Alliance Program 
ให้กับนิสิตทุกคนก็เลยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของ Microsoft ได้แทบทุกตัว 
ยกเว้น Microsof Office .... จึงเป็นดั่งสวรรค์ส่องทาง 
มาให้ใช้ของ Microsoft แล้วจริงๆ :)

สรุปคร่าวๆ สำหรับ Application Stack ที่มีของ Microsoft ครับ

1. SQL Server ---  เป็น Database พร้อม service ต่างๆ ที่ช่วยในการทำงานเกี่ยวกับ Database โดยมี 
  • Integration Service(SSIS) - ไว้สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลจากทุก Datasource
    ไม่ว่าจะเป็น Oracle , DB2 หรือแม้้แต่ Flat File ...
  • Reporting Service(SSRS) - ไว้สำหรับออก report ต่างๆ
    มีทั้ง WebService และ WebServerService
  • PowerPivot for Sharepoint - ไว้ integrate PowerPivot
    (ใช้ในการ drilldown ข้อมูล) ให้กับ Sharepoint
  • Business Intelligence Studio - ไว้สำหรับออกแบบ DataFlow ของ SSIS
    และทำ report ของ SSRS 
2. Office 2010 + PowerPivot -- เป็น Tool ที่ใช้ในการทำ Excel ที่เก็บข้อมูลได้ในระดับ ล้าน records
ลงใน file พร้อมทั้งสามารถเรียก Refresh ข้อมูลได้ทุกเมื่อ
และยังสามารถนำไป Deploy บน Sharepoint เพื่อแสดงผลได้อีกด้วย (เมพมาก)
แต่ด้วยความโชคดีที่ได้ Home Use Program ของที่ออฟฟิศ มาให้ได้ใช้ทันพอดี :)

3. Sharepoint -- Server สารพัดประโยชน์ ที่รวมการทำงานระหว่าง Web Server
และ Application Server ไว้ด้วยกัน ซึ่งจริงๆแล้วพื้นฐานทั้งหมด มาจาก IIS
แต่หาก Sharepoint เปรียบเสมือน Framework ที่ on top อยู่บน IIS อีกที
จึงทำให้ Developer ไม่ต้องสนใจ Infrastructure มากนัก เน้นพัฒนา App เสร็จแล้ว
Deploy อย่างเดียว (Microsoft Azure's Concept ) ก็เลยทำให้เข้าใจว่า
ทำไมถึงกิน Memory มหาศาล แต่หลายๆ อย่างบน Sharepoint นั้นค่อนข้างพร้อม
สำหรับการทำ Webapp แบบ "Non-Coding" มากเลยทีเดียว ....
Service สำคัญๆ ใน Sharepoint ที่ต้องใช้ได้แก่ ...
  • PerformancePoint Service - ไว้จัดทำ Balance Scorecard และ Dashboard.
  • Visio Graphic Service - ไว้ทำ Graph ต่างๆ รวมไปถึง Overview Image  ที่ออกแบบโดย Visio
  • Powerpivot Service - เป็น Integrate service ไว้ Drill down ข้อมูลผ่านหน้าเวป
  • Reporting Service - เป็น Integrate service สำหรับ แสดง Report จาก SSRS
จะเห็นได้ว่า Microsoft เองก็มี Platform ที่ค่อนข้าง Strong ในเรื่องของการทำ BI เหมือนกัน
ตอนต่อไป จะมาดูกันครับว่าจะพัฒนาได้อย่างไรบ้าง :)

วันเสาร์, เมษายน 23, 2554

รีวิว : Source Code (2011) - เพราะอดีตยังมีบั๊ก


เปิดตั๋วเดี่ยว(เป็นประจำ) แบบ งงๆ ไปสำหรับ Source Code ครับ
ดู trailer ตอนแรกแล้วไม่คิดว่าจะสนุกเท่าไหร่
คิดว่าคงอารมณ์ เดจาวูหลายๆ รอบแน่ๆ .....
แต่เห็นใน rottentomatoes ให้แต้มซะเยอะ เลยจัดไปหน่อย
เค้าว่าเป็นแนวๆ inception ปกติก็ชอบอยู่แล้วก็เลยจัดไปครับ
พอได้ดูแล้วทำให้รู้ว่าเนื้อเรื่องชวนให้ติดตามเอามากๆ
เพราะไม่รู้ว่าตัวเอกจะหาทางออกได้ยังไง ....

สปอยล์ เลยดีกว่า ....
  • จาก trailer ทำให้เดาตอนจบไม่ออกว่าจะออกมารูปแบบไหน รู้แค่ว่า happy ending แน่ๆ
  • พระเอกน่าสงสารกว่า Inception เยอะมาก ....
  • Concept โลกคู่ขนาน ทำได้เจ๋งดี
  • วนฉากเดิมๆ หลายรอบไปหน่อย แต่ตัวหนังก็หาทางออกให้ดูได้ไม่เบื่อ
  • นางเอกยิ้มหวานมาก เห็นกี่ฉาก แทบจะละลาย ....


  • ทำให้มานั่งมึนต่อว่า หากตัวเองเหลือเวลาไม่ถึงนาที ... อยากทำอะไรมากที่สุด
  • Quote สั้นๆ ง่ายๆ โดนใจ ... "It's gonna be OK"

สรุป เพราะ อดีตยังมีบั๊ก เลยเป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้ครับ :)
เป็นเรื่องที่แสดงบทบาทของ Tester โดยถ่องแท้ .... ๕๕๕

วันศุกร์, เมษายน 22, 2554

เมื่อ Noob อยากเข้าใกล้ศาสดา #2 - Survival Guide ...


ขอคั่นรายการด้วย Survival Guide ครับ ....

พอเริ่มใช้ Mac เต็มตัว ก็ต้องเริ่มหาโปรแกรมสามัญประจำบ้านมาลง
เพื่อให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ...
ครั้นจะถาม อากู๋ ทุกอย่างก็ดูจะ Geek เกินไปนิดนึง ....
แต่ด้วยความช่วยเหลือจาก @khajochi  @chaichan และ @odacroniandevil

ทำให้ สามารถผ่านพ้นวิกฤติ มาได้ครับ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้้ด้วยคร้าบ -/\-

เพื่อเป็นการกันลืม ... เลยจะ short note ย่อๆ
สำหรับโปรแกรม และ Tips ต่างๆ ที่จำเป็นๆ ก่อนละกัน
เผื่อจะมีใครถอย น้อง Mac ตามมาจะได้สามารถแก้ได้ครับ :)


#1: Web Browser ...
คงหนีไม่พ้น Chrome ครับ ... ยังไม่ได้ลอง FF4
อีกทั้ง PC ที่ออฟฟิศก็ใช้แต่ Chrome เลยใช้ให้เหมือนๆกัน :P
http://goo.gl/rtPcG


#2: แก้ username folder
http://www.iclarified.com/entry/index.php?enid=4598
ด้วยความ "มือใหม่" เลยจัดชื่อเต็มตอนใส่ข้อมูล user เลยเจอปัญหาชื่อ folder ยาวเป็น กิโล ...
เลยต้องหาทางเปลี่ยนให้มันสั้นลงครับ :)

#3: ดู Video บน Mac ?
Quicktime ก็แทบจะครอบจักรวาลอยู่แล้ว แต่ codec บางตัวก็ขาดๆ ไป
จะดู Video แบบ mkv หรือ flv ก็ดูจะลำบากไปนิด .... @Khajochi เลยจัดให้ครับคือ

http://perian.org/
ไว้สำหรับ support file ดังต่อไปนี้ครับ

  • File formats: AVI, DIVX, FLV, MKV, GVI, VP6, and VFW
  • Video types: MS-MPEG4 v1 & v2, DivX, 3ivx, H.264, Sorenson H.263, FLV/Sorenson Spark, FSV1, VP6, H263i, VP3, HuffYUV, FFVHuff, MPEG1 & MPEG2 Video, Fraps, Snow, NuppelVideo, Techsmith Screen Capture, DosBox Capture
  • Audio types: Windows Media Audio v1 & v2, Flash ADPCM, Xiph Vorbis (in Matroska), and MPEG Layer I & II Audio, True Audio, DTS Coherent Acoustics, Nellymoser ASAO
  • AVI support for AAC, AC3 Audio, H.264, MPEG4, VBR MP3 and more
  • Subtitle support for SSA/ASS, SRT, SAMI

แต่แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น VLC ไว้เปิดไฟล์เหล่านี้ด้วย

http://www.videolan.org/vlc/


#4: Capture Screen
กด Print Screen แล้วหา โปรแกรม save ดูจะลำบากเกินไปสำหรับ Mac ...
โชคดี มี shortcut แบบง่ายสุดๆ มาให้ใช้แล้ว !!!

Command + Shift + 3 = Capture ทั้ง Screen
Command + Shift + 4 = Capture แบบ Region
Command + Shift + 4 + Space = Capture แบบ Window


#5: เปิด HDD + USB ที่มี file format เป็น NTFS
ตาม link ด้านล่างนี้ไปโดยพลันครับ  :)


http://www.khajochi.com/2010/06/read-write-ntfs-files-on-mac.html

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า FAT32 file format จะไม่สามารถเก็บไฟล์ที่ใหญ่เกิน 4GB ได้
แต่ด้วยหลังๆ window เป็น OS ที่มีอยู่ 90%+ ในตลาด ดังนั้นผู้ผลิตเลยใจดี
จัดเป็น NTFS มาให้จากโรงงาน จึงทำให้เปิดบน Mac ไม่ได้ ....
ใช้วิธีตามข้างบน ก็จะใช้ได้ปกติครับ :)

#6: แตกไฟล์ .rar และ .7z
สามารถใช้ stuffit expander (Freeware) ในการ extract ได้ครับ ....
ส่วนตัวคิดว่าการ zip ก็เพียงพอในการบีบอัดไฟล์
จึงไม่ได้หาตัว create แบบพิศดาร มาใช้ครับ

ณ ตอนนี้ใช้อยู่ประมาณนี้ครับ
หรือ หากมี app ไหนน่าสนใจแนะนำกันมาได้ครับ :)

วันพุธ, เมษายน 20, 2554

รีวิว : เกาะล้าน ... Can't stop lovin' you


ภาพจากท่าเรือบาลีฮาย

ช่วงสงกรานต์ ที่ผ่านมาได้ไปจัดทริปสอนถ่ายรูปที่เกาะล้านครับ :)
เป็นครั้งแรกที่ได้เคยไปเกาะล้าน .... และเป็นอีกทริปที่ต้องเตรียมตัว
มากกว่า 1 เดือนสำหรับการจองบ้านพักที่จะไปในช่วงเทศกาล ....
ทว่าแค่ 1 เดือน(ช่วงต้นเดือนมีนา) ก็พบว่า
บ้านพักที่อยากจะไปนอนกลิ้งนั้น เต็มเอาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

- บ้านฟ้าใส
- บ้านเฉลียงลม
- บ้านเรือนตะวัน
- สุนทรีโฮม
- ลมทะเล รีสอร์ท
- เกาะล้าน ริเวียร่า
- BarBerry
ฯลฯ

เล่นเอาถอดใจมาก ... ว่าจะหาที่พักได้ไหม ...

จุดมุ่งหมายของ Trip นี้ คืออยากไปนอนกลิ้งทะเล ...
กับไปเป็นคุณครูสอนถ่ายรูป ....
เลยไม่เน้นเล่นน้ำทะเลเท่าไหร่ .... ช่วงเวลาของ Trip นี้คือ 3 วัน 2 คืน
สุดท้ายเลยได้ที่ บ้านพักธนัชชา(ไม่ติดทะเล) กับ บ้านรินรักษ์ ครับ


การเดินทางเนื่องจากเน้นไป-กลับ สะดวก ไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลัง
บวกกับค่าน้ำมันที่แสนกระฉูด ณ ตอนนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือ
รถตู้ของ Pattaya Van ครับ สะดวกส่งถึงที่  ....

ออกเดินทางวันที่ 14 ช่วงเช้า ประมาณ 8 โมง
ไปทันขึ้นเรือรอบ 10 โมงพอดี หลับกันเต็มอิ่มบนรถตู้ ...

บาลีฮาย Light House ....

บนเรือสังเกตได้ว่า ฝรั่งเยอะพอสมควร ทั้งๆ ที่เป็นเรื่อไปที่ ท่าหน้าบ้าน ซึ่งไม่ได้ติดหาดอะไรเลย
แต่มาพบกับบางอ้อ ทีหลังว่า .... ฝรั่งที่ไปท่าหน้าบ้านส่วนใหญ่จะต่อสองแถว / มอไซค์รับจ้างไปที่
หาดแสม ซะส่วนใหญ่  .....

พอถึงท่าหน้าบ้านก็เกือบๆ เที่ยงพอดี เลยแวะหาที่หม่ำๆ แก้หิวชั่วคราว ...
ก่อนที่รถของ ธนัชชาจะมารับ ...ด้วยความหิวสั่งไม่ทันดู ...
เลยแอบเซ็งกับราคา มักกะโรนีไก่ เล็กน้อย ที่ราคาพุ่งไป ... 150 บาท
(มาม่าผัดขี้เมาทะเล ~ 70 ) เซ็งตรงที่เป็นแค่ ไก่ แต่ 150 เนี่ยแหละ - -''

หลังจากหม่ำๆเสร็จก็โทรเรียกรถของบ้านพัก มารับครับ ....



บ้านพักของธนัชชา เป็นบ้านพักที่ไม่ติดทะเล (ส่วนที่ติดทะเลแถวๆ ท่าหน้าบ้าน เต็มหมดแล้ว)
ระหว่างที่มาถึง คนที่พักอยู่ยังไม่ได้ check out ก็มีห้องให้นั่งรอก่อน ... เป็นที่พักอีกที่ที่บริการดีมากครับ
มี package ดำน้ำให้อยู่แล้วด้วย แต่ผิดจุดประสงค์ไปนิด พร้อมกับไม่มีคนแว๊น ....
ก็เลยให้เค้าไปส่งที่หาดตาแหวน แทน ....



ที่หาดตาแหวน ก็มีเตียงผ้าใบของธนัชชาเอง .... ไม่ต้องเสียค่าเตียงผ้าใบอีก (แหล่มไปเลย) แต่ช่วงที่ไป น้ำลงไปเยอะแล้ว เลยเจอแต่หาดทราย กับน้ำทะเลสุดลูกหูลูกตา ....


ขากลับก็มีรถสองแถวใจดีพากลับมาที่ท่าหน้าบ้าน ด้วยราคาแว๊น ซ้อนสอง ...
ต้องขอบคุณมากๆ เลยครับ :)


มื้อเย็นของวันแรก วางแผนกันว่าจะกินอะไรเบาๆ แล้วหาซื้อของปิ้งๆย่างๆ ไปกินที่บ้านพัก ...
เลยแวะร้านแนะนำจากเวปพันธ์ทิพย์ "เจ๊จุ๋ม" ต่อด้วย "เจ๊ตาล" อาหารทะเล สำหรับกุ้งย่าง และหมึกย่าง ...
ราคาอาหารที่ร้านเจ๊จุ๋มก็เหมือนๆ กับอาหารตามสั่งปกติทั่วไปครับ ...
สำหรับ กุ้งย่างไข่กุ้งมากมาย ตกกิโลละ 250 บาท สั่งมากิโลนิดๆ พร้อมกับปลาหมึกย่าง ...
อิ่มกันอ้วนเลย ... พร้อมกับนั่งชิวๆ ... เป็นคืนแรก ที่ชิวๆ บนบ้านพักไม่ติดทะเล ครับ :)

โดยรวมแล้วก็ถือว่าบริการดี สำหรับที่พักคืนแรก ... แต่ติดใจเรื่องจานกองโตเล็กน้อย
เพราะห้องข้างๆ เล่นทำอาหารเยอะแยะมากมาย ...

ในคืนที่สองเลยได้ไปพักที่บ้านรินรักษ์ครับ ...



สิ่งที่ประสบพบเจอระหว่างบ้านพักทั้ง 2 หลังคือ ...
แผนที่ไม่ค่อยจะตรงกันซักเท่าไหร่ ... คลาดเคลื่อนประมาณ 40% ได้ ...
อีกทั้งบน Google Map ก็ไม่ได้มีเส้นทางบนเกาะล้าน ทำให้ลำบากที่จะหาตำแหน่งอ้างอิง ...
แต่ที่พักทั้งสองที่ สามารถเดินเท้ามาถึงท่าหน้าบ้านได้สบายมากครับ

ที่บ้านรินรักษ์มี มี prop ให้สำหรับถ่ายรูปพอสมควร เล่นเอาคนไปด้วยยิ้มไม่หุบ ... :P


พอ Check-in พร้อมกับนั่งพักหลบแดด ก็ออกไปกินข้าวที่ "เกาะล้าน อาหารทะเล"
พร้อมกับไปจองโต๊ะที่ครัวพวงพยอม สำหรับมื้อเย็น (ในเวปพันธ์ทิพย์ บอกว่าให้ไปจอง แต่ก็เต็มจริงๆ)
จัดการมื้อเที่ยงเสร็จก็หาคนรับจ้างแว๊นไปที่ หาดแสม ครับ ...
ไม่กล้าไปหาดเทียน เพราะเค้าบอกทางมันไปลำบากแถมกลับลำบากอีกตังหาก  ....


ที่หาดแสม พบว่า ฝรั่งเยอะพอสมควร ไม่พลุกพล่านเท่าหาดตาแหวน แต่คลื่นแรง ลมแรง
เหมาะสำหรับเล่นน้ำเอามากๆ ... แต่เศษหิน เยอะไปหน่อย
หากต้องการจะเดินริมหาด ไม่แนะนำครับ ทรายไม่ละเอียดเหมือนหาดตาแหวน
กลับมาตอนเย็นกับร้านอาหาร "ครัวพวงพยอม" ตามคำล่ำลือของ เวป พันธ์ทิพย์ ....



บรรยากาศ สุดแสนโรแมนติค จริงๆ แต่เนื่องด้วย อ่าวที่ร้านตั้งอยู่เป็นอู่เก็บเรือ จึุงค่อนข้างเสียงดัง
เวลารถ Truck มาขน jet ski ขึ้นบนบก ... ถ้าจะไปแนะนำให้จองโต๊ะระหว่างเวลา ทุ่มนึง กำลังเหมาะครับ

อาหารยังมาไม่ครบ แต่บรรยากาศสุดๆ ...

สำหรับมื้อเย็นวันที่สอง ก็เทียบได้กับกินร้านอาหารทะเลดีๆ มื้อนึงครับ ราคาสมเหตุสมผล
กุ้งที่กินเมื่อคืนก่อน มาที่นี่ราคาจะ x2 แต่ได้ตัวใหญ่กว่ากันเยอะ ก็ถือว่าราคาปกติครับ ...
แต่แนะำนำว่าถ้าจะสั่งต้มยำ สำหรับร้านนี้ ให้บอกเค้าว่า "ไม่เปรี้ยวมาก"
เพราะอาจจะเจอ ต้มยำมะนาวหก ได้(เล่นเอาท้องเสียวันต่อมาเลย - -'')
แต่ปูหวาน .. และสดมากครับ :)

สรุปโดยรวม:

- เป็นอีกที่ที่น่ามาเที่ยวบ่อยๆ ครับ สำหรับเกาะ้ล้าน ...
- จำเป็นที่จะต้องขับมอเตอร์ไซค์ ให้เป็น ... ไม่งั้นจะใช้ชีวิตลำบากมาก ...
- ค่าเสียหาย ต่อคน สำหรับ 2 คนโดยเฉลี่ยสุทธิแล้ว ตกอยู่ที่ 3500 บาท ....
- อากาศร้อนถึงร้อนมาก ... ถ้ามาหน้าหนาว ไม่รู้ว่าจะอากาศดีไหม ....
- รถสองแถวหมด 6 โมงเย็น ...สำหรับหาดตาแหวน และ 5 โมงกว่าๆ สำหรับหาดแสม ....

แปะป้ายว่า Recommended ให้เที่ยวสำหรับเกาะล้านครับ :)
ของไม่ค่อยแพงเวอร์เหมือนเกาะเสม็ด แถมเป็นกันเองมากกว่ากันเยอะด้วย ...



วันจันทร์, เมษายน 18, 2554

เมื่อ Noob อยากเข้าใกล้ศาสดา #1 - The Beginning

หลังจากได้ฤกษ์ ถอย MBP มาได้พักใหญ่ๆ
ก็ได้เวลามานั่งเขียนความในใจเกี่ยวกับ Notebook ตัวนี้กันบ้างแล้ว ...


ในที่สุดตอนนี้ก็เลยได้ถอย MBP 13" 2011 มาสมใจกิเลสที่รอคอยมานานครับ ...
ด้วยความเห่อระดับเบอร์ห้า อยู่แล้ว .... วันแรกๆ ก็ไม่พ้นที่จะลองเล่นข้ามวันข้ามคืน
ไม่หลับไม่นอนกันเลยทีเดียว ...

เหตุผลหลักๆ ที่ตัดสินใจซื้อ Mac (ในตอนแรก) ก็คงหนีไม่พ้น

1. วัสดุที่ใช้ .....

เพราะตั้งแต่ใช้ BenQ S31-VW มาได้เกือบๆ 5 ปี ... พบว่า ... ถึง spec จะแรงเพียงใด ...
แต่ถ้า body ที่หุ้มมันไม่ Ok ...  ก็ทำให้มันเจ๊งได้ง่ายเหมือนกัน .... ในเมื่อจะซื้อ Notebook ตัวที่ 2
เลยขอคิดมากนิดนึง ซึ่งแน่นอนว่า MBP มี Body เป็น อัลลูมิเนียม ...
ก็น่าจะทนทานกว่า NoteBook ทั่วไปพอสมควร(มั้ง) ก็ไว้ต้องลองดูต่อไปครับ :P

2. OS .....

อยากลอง OS อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Window ดูบ้าง ... ครั้นจะใช้ Ubuntu หรือ Linux ก็ดูจะ Geek เกินไป ....
เพราะคงไม่ว่างมานั่ง compile kernel แน่นอน ..... อยากเป็น User บ้าง อะไรบ้าง ....

3. Software  ....

ที่โดน @Khajochi ทำหน้าที่ Direct Sale มาจากองค์ศาสดา ...
คงจะหนีไม่พ้น iLife ที่เดิมโดยส่วนตัวก็ชอบที่จะถ่ายรูปอยู่แล้ว ...
ประกอบกับโปรแกรมพื้นฐานอย่าง Microsoft Office ก็ไม่ได้ขี้เหร่เกินไป ....
(ถึงจะตัดคำไม่ได้ดีเท่าบน Window ก็เถอะ)
พร้อมกับได้ Home Use Program ของที่ออฟฟิศ มาใช้ในงานนี้ สบายไปหลายต่อครับ :)


ของเค้าดีจิงนะตัวเธอว์ ...

4. Master Project

อย่างที่คิดไว้ตอนแรกว่า ต้องหา Notebook มาทำ Master Project ซักตัว ...
เพราะน้อง BenQ เครื่องเก่า คงจะไม่สามารถที่จะรันไหวได้ ... (Max RAM ได้แค่ 2GB)
ก็มีดูไว้หลาย spec ... หลายยี่ห้อ .... มาก ..แต่อย่างที่บอก ใน 3 ข้อข้างบน ....
ทำให้คู่แข่งยี่ห้ออื่น ตกไประนาว ....

แต่เมื่อมาลองใช้จริง ๆ แล้วก็พบว่ามีข้อดีข้อเสียแตกต่างจาก window พอสมควรครับ ....
อาจจะเป็นเพราะยังไม่ชินด้วยก็ได้ ....  ไว้จะมาบ่นให้ฟังเป็นระยะๆ ครับ :)

แต่ในวันแรกๆ ก็โดนค่า Accessory ของน้อง Mac นี้ไปหลายแล้วเหมือนกัน T^T
ค่าเสียหายหลายอย่างมาก ...ไม่ว่าจะเป็น ....

1. เพิ่ม RAM 4GB -> 8GB .....  (ได้ที่ ฟอร์จูน)

จัดเต็มมากๆ Samsung 4GB ..

เอาให้แรงสุดใจขาดดิ้น .... เพราะส่วนตัวแล้วไม่อยากลง Window บน Mac เลยทำเป็น VM แทน ...
เพราะด้วย Master Project ต้องการที่จะใช้ Sharepoint 2010 ที่ซด RAM มหาศาล
ครั้นจะรันบน RAM 4GB บ้านๆ ก็คงจะไม่ work เลยต้องจัดเต็มครับ
งานนี้ได้ร้านขาย RAM Online ชื่อดัง เป็นคนชำแหละน้อง MAC เปลี่ยนให้ครับ :)
และพบว่า ... RAM บน MBP คือ RAM ของ Samsung ... ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่ Feature หลายๆอย่าง
รวมไปถึง การ port Mac OSX มารันบน Notebook Samsung ค่อนข้างที่จะเนียนมาก .....
ถ้าไม่อยากซื้อ Mac แต่อยากจะใช้ Mac OSX แนะนำให้ถอย Notebook Samsung แทนครับ :)


2. Palmguard ..... กันรอยมือ ... (ได้ที่พันธ์ทิพย์)

3. Keyboard Guard ... กันฝุ่น(ออก)คีย์บอร์ด  (ได้ที่พันธ์ทิพย์)

4. Soft Case ... ของ Capdase ... (ได้ที่ ฟอร์จูน)

5. Anti-Glare Filter .... (ได้ที่ Siam Discovery )

.... ซึ่งของทั้ง 5 ชิ้นนั้น ... ด้วยพลังความเห่อ เลยจัดจบไปภายใน 1 วัน ...
เล่นเอาเดินกันขาลากเลยทีเดียว (เดินจาก สยาม -> CTW -> พันทิพย์ -> CTW -> สยาม )

และก็ได้่ชาบู ชาบู สมใจครับ ... :D


ตอนต่อไป (ชิไค ~ ) ... มาดูกันว่า ใช้ Mac ทำอะไรกับ Master Project บ้าง ....

วันพุธ, เมษายน 06, 2554

Master Project #1 : เดินทางไกล ไกล


เนื่องด้วยได้เวลาที่มีอยู่จำกัด
จึงต้องเริ่มอะไรๆ ให้เป็นชิ้นเป็นอันซักที ....

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเรียนปริญญาโท
ของหลักสูตร MIS จุฬาฯ คือ การทำ Master Project ... (แต่ถ้าทำ thesis ก็ไม่ต้องทำ)
โดยตัว Project แล้ว จะต้องอยู่ใน 3 scope ใหญ่ๆ นั่นคือ
  1. ระบบสารสนเทศ ( Information System )
  2. ระบบคลังข้อมูล ( Data Warehouse )
  3. ระบบ Implement SAP  
ซึ่งสำหรับข้อ สาม หากไม่ได้คลุกคลีอยู่ภายในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ 
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหา software มาลองใช้ + Learning Curve สูงลิ่ว

แต่ด้วยโครงสร้างของเงื่อนไขในการทำโปรเจคที่จะต้องอิงตาม ธุรกิจที่มีอยู่จริง
จึงหนีไม่พ้น การไปเก็บ Requirement  ...

คงสงสัยว่า แล้วเรา Fake ขึ้นมาไม่ได้เหรอ ??

จริงๆ ก็ Fake ขึ้นมาได้ แต่หากเราไม่ได้คิดถึงสภาพความเป็นจริง
ในการทำธุรกิจนั้นๆ เวลาสอบโปรเจค ก็อาจจะดับได้ .... 
ดังนั้นอิงตามธุรกิจที่มีอยู่จริง จะสบายใจสุด ....
หรือถ้ากรณีอยาก show power ก็คือต้องเขียน 
แผนธุรกิจ ( ที่เป็น ​​Master Project ของหลักสูตร MBA )
พร้อมกับทำระบบไปด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ..... ไม่ขยันขนาดนั้น

ด้วยความที่หลักสูตรเปิดมานานแสนนาน เกือบๆ 20 ปีแล้ว
การที่จะทำ ระบบสารสนเทศ ให้ match กับธุรกิจนั้น
ก็ดูเหมือนจะมีคนทำไปหมดแล้ว ( search หัวข้อแล้วซ้ำกระจาย )
อีกทั้งที่บ้านไม่ได้มี ธุรกิจส่วนตัว ที่จะพอไปต่อรองกับอาจารย์ได้ ....
เลยเหลือทางเลือกเดียวที่จะต้องทำคือ ทำระบบคลังข้อมูล ...
ซึ่งได้ความช่วยเหลือ จาก เพื่อนผึ้ง ที่ช่วยเป็น contact point ให้ 
(ต้องขอบคุณมากๆ มา ณ ที่นี้ด้วยคร้าบ)

สิ่งที่ท้าทายสำหรับการไปทำ Master Project มีด้วยกันหลายๆ อย่าง
แต่ที่ต้องบริหารให้ได้ คงหนีไม่พ้น เรื่องของ เวลา และ ระยะทาง ....

ด้วยความที่บ้านที่อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างที่จะ ชนบท .... 
การเดินทางจากที่ออฟฟิศ เพื่อไปยัง ​​Site ที่ติดต่อ นั้น ไปได้ สะดวกมาก
แต่ด้วยการที่จะกลับบ้าน ที่อยู่ไกลถึง บางบัวทอง นั้น คงต้องคิดหนักพอสมควร
เนื่องด้วย ขับรถก็ยังขับไม่เป็น ..... ครั้นให้ขับได้ก็ใช่ว่าจะลดระยะทางได้ 
จึงต้องวางแผนในการกลับบ้านพอสมควร ....

แต่ด้วยเมื่อคืนโดน taxi พาไปวิ่งอ้อมจนเกือบถึง บางขุนเทียน ....
เล่นเอาอึ้งไปพักใหญ่ .... แต่สุดท้ายก็มาถึงบ้านจนได้ก็เลย 
คิดว่าคงต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ ....


จาก แผนที่ คราวหน้าคงต้องบอก Taxi ให้ไปทางที่ Google Map แนะนำมั่งแล้ว ....
แล้วไว้ค่อยดูว่าค่าเสียหาย จะเป็นเท่าไหร่ +_+

วันศุกร์, เมษายน 01, 2554

[Blog] ในที่สุด ... ก็ได้ถอยมา ...



ช่วงนี้มีแต่ของ สนองกิเลส *-* หลังจากที่ได้เก็บกิเลสตัวเองมานานพอสมควร ...
แล้วสำหรับเรื่อง Model ที่ ล่าสุด @Hnan ชวนไปต่อ Model ที่ Brown Berry ซอยอารีย์ ...
จนในที่สุด ... ก็ถึงเวลาน้องโบออก พร้อมๆ กับ อยากให้รางวัลกับตัวเองบ้าง อะไรบ้าง ...
ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำมาหลายเดือน ...เลยได้ถอยมาครับ ...


Soul of Chogokin : Daizengar & Aussenseiter


หากติดตาม Blog นี้มาได้ซักพักจะรู้ว่า .. เจ้าของ Blog ค่อนข้างจะ Otaku มาก .... 
และสำหรับ Model คู่นี้ เป็นหุ่นที่ชื่นชอบอยู่แล้วด้วยความที่ ...
เล่นเกมส์พวก Super Robot มานาน ...และติดใจหุ่นคู่นี้มาจากในเกมส์
ถึงแม้จะดูในการ์ตูนแล้วไม่ค่อยเท่ห์ก็เถอะ .... แต่ในเกมส์ .... เห็นได้ดังนี้ ...



เท่ห์ป่ะล่า .... ถึงแม้มันจะแอบเกย์ (Real Men Ride Each Other) ไปหน่อยเหอะ -__-'' lol
เนื่องจากยังไม่ได้ต่อ (ดองไว้ในกล่อง ... ) เลยขอเอารูปของชาวบ้านมาแปะไว้ก่อนละกัน ...


แค่ยืนเก๊กก็หล่อแว้ว :D :D


ดาบ Zankantou ... เท่มวากกกกกก



Highlight ของ Model ชุดนี้คือ หุ่นอีกตัวสามารถแปลงร่างเป็นม้าได้ครับ .... 
ไว้ต้องลองดูว่า ประกอบออกมาแล้วจะเป็นเช่นไร ....

สำหรับของเล่นชุดนี้ เล่นหมดไปเกือบหมื่น .... (เพราะเป็น Limited Edition)
ต้องขอบคุณ อากู๋ ที่ช่วยหิ้วมาจากญี่ปุ่น ก่อนโดนแผ่นดินไหวอย่างฉิวเฉียด ....
ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยคร้าบ :D :D

Happy April Fools' Day :P :P :P


วันศุกร์, มีนาคม 25, 2554

[Blog] ลมหายใจ ... Developer's version ..



เขียนไว้นานแล้ว ช่วงเครียดๆ ไม่ได้ Published ซักที ...
วันนี้กลับมาอารมณ์เดิมเลยจัดไป ...

ต้องขออภัยต้นฉบับ มา ณ ที่นี้ด้วยคับ -/\- 
เครียดเกินอยากหา สีสัน ให้ชีวิตบ้าง ๕๕๕

-----------------------

จะให้ทำเช่นไร  .... ในเมื่อ Code ยังมี Bug เช่นเธอ  ~
หลับตาครั้งใดยังคงเจอ  .... Bug อย่างเธอ .... ในใจ

เฝ้ากลุ้มเพราะ Bug ... แต่ก็มักไม่รู้ว่าแก้ยังไง  ....
เป็นคำถามที่ค้างคาใจ  ... ว่าเมื่อไหร่จะ Passed มันไป ....

แก้ยังไงไม่รู้ .... จะทำอย่างไรก็ไม่รู้ ....
ว่าตัวฉันนั้น โคตร ขัด ใจ ...
แต่จะยากเย็นเพียงไร จะอีกนานซักเท่าไร
อยากให้มัน Passed และให้มันจบไป ...

Bug คือลมหายใจ Bug คือทุกอย่าง
จะ Bug กันไปไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะ Bug คือลมหายใจ Bug คือทุกอย่าง
จะ Bug กันไปไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะ Bug คือลมหายใจ Bug คือทุกสิ่ง
จะให้ Fixed อะไรก็ยอมทุกอย่าง
จากนี้ จะได้ Released ซักกะที ...

ก็เพราะวันและคืน
ทำให้ต้องฝืนใจตัวเองเรื่อยมา
เจอะ Report ครั้งใดไม่เคยล้า
จะบอกว่า Bug ในใจ ...


เฝ้ากลุ้มเพราะ Bug ... แต่ก็มักไม่รู้ว่าแก้ยังไง  ....
เป็นคำถามที่ค้างคาใจ  ... ว่าเมื่อไหร่จะ Passed มันไป ....




แก้ยังไงไม่รู้ .... จะทำอย่างไรก็ไม่รู้ ....
ว่าตัวฉันนั้น โคตร ขัด ใจ ...
แต่จะยากเย็นเพียงไร จะอีกนานซักเท่าไร
อยากให้มัน Passed และให้มันจบไป ...



Bug คือลมหายใจ Bug คือทุกอย่าง
จะ Bug กันไปไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะ Bug คือลมหายใจ Bug คือทุกอย่าง
จะ Bug กันไปไม่มีวันจาง ไปจากใจ
ก็เพราะ Bug คือลมหายใจ Bug คือทุกสิ่ง
จะให้ Fixed อะไรก็ยอมทุกอย่าง
จากนี้ จะได้ Released ซักกะที ...

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 27, 2554

Vavar ปะทะ Java Swing #3 : Why Swing ?

UI สุดเมพ สมัย ป.โท ..
ประกาศ : บทความเหล่านี้เขียนด้วยความคิดเห็นของตัวเองล้วนๆ ... 
ผิดถูกยังไง สามารถเสนอแนะโดย post comment ด้านล่างได้ครับ :)

ตลอดเวลาที่นั่ง code มา 2-3 เดือน คอยถามตัวเองเสมอว่า
"ทำไมต้อง Swing ?"
"เขียน AWT อย่างเดิมไม่ดีกว่าเหรอ ?"

ก็เหมือนยังเป็นคำถามมาตลอดเวลาภายในหัวสมอง...
เหมือน ตัวมาร กะ ตัวดี ปะทะกันจนปวดหัวไปหลายๆ รอบ ...
แต่พอได้ ลงมือ เขียนจริงๆจังๆ พบว่า ...

ถ้าจะทำ Client GUI ... โดย Java ... ในขณะนี้ ...
คงมีเพียง Swing ที่เป็นคำตอบสุดท้าย ...

จริงๆ แล้วการทำ GUI ด้วย java
ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซักเท่าไหร่ ...
แต่ต้องยอมรับอย่างนึงว่าช่วงตั้งแต่ JRE 1.4 - 1.5 ...
SUN ไปเน้นหนักทาง J2EE มากเกินไป ...
จน Java Desktop มันย่ำแย่ซะจน Developer หลายๆ คน
ตั้งเป็น slogan ให้ว่า

"จาวาค้างส์" 

กันเลยทีเดียว ...

ถ้าอยากรู้ว่ามัน "แย่" ขนาดไหนแนะนำให้รัน app
ที่เป็น JRE 1.5 กับ JRE 1.6 ครับ ... จะเห็นความแตกต่างอย่างรู้สึกได้ :)

อ้อ อีกอย่าง ... ไม่ได้สนับสนุนว่า "จาวาเร็วส์" นะครับ
และก็ไม่ได้เป็น zealot ด้วย .... กลับมาดู Swing ของเรากันต่อดีกว่า ...

ด้วยอายุของ Java Swing แล้ว ... คงปฎิเสธ ไม่ได้ว่าเป็น Techonology ที่ค่อนข้าง "เก่า"
เพราะมัน 10 ปี มาแล้ว ... แต่ยังแก่น้อยกว่าอย่าง MFC
ที่เป็น lib ของ Microsoft อยู่เยอะหน่อย :)

Firewall App บ้านๆ ที่เคยเขียนสมัย ป.ตรี (MFC + C++)

แต่หากด้วยใครเคยเขียน MFC มาบ้าง ก็จะรู้สึกทันทีว่าการเขียน GUI บน Java นั้น ...
ไม่ได้ยากเท่า MFC แต่อาจจะต้องใช้จินตนาการ นิดหน่อย
เพราะหากเขียน code แบบ AWT มันไม่มี Visual Tool ให้ดูขณะที่กำลังเขียน code อยู่ ...
ซึ่งใน Swing ก็มีให้อยู่พอสมควร ดังเช่น netbean หรือ window builder pro ...

โดยตัว Swing เองมีการใช้ MVC Framework เป็น Core Architect
อยู่ตรงกลางโดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ

  1. Model
    ใช้ในการเก็บข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การ enabled / disabled
    หรือพูดง่ายๆ ว่า Attribute ทุกอย่างของ Component นั้นจะถูกเก็บอยู่ที่ Model ....
    อย่าง ปุ่ม ( JButton ) ก็จะมี ButtonModel ที่เก็บข้อมูลของปุ่มที่เราสร้างขึ้นนั้นไว้ ...
    เราสามารถเรียกข้อมูลจาก Model มาเพื่ออ่านค่า หรือเปลี่ยนแปลงค่าได้ ...
    ซึ่งการเรียกค่าต่างๆ นั้น จะต้องทำมาจาก Controller หากเราต้องการเปลี่ยนค่าภายใน Model โดยไม่ผ่าน Controller เราจำเป็นที่จะต้อง "Fire" หรือบอกให้ Controller รู้ด้วยว่า ...
    ค่าใน Model มีการเปลี่ยนแปลง ... Controller เองก็จะทำการดึงข้อมูลเพื่อให้
    View ทำการแสดงผลข้อมูลใหม่ให้ถูกต้อง ...  
  2. Controller
    หรือเรียกง่ายๆ ว่า Component ... ตัว Controller จะทำหน้าที่จัดการ
    "Behavior" หรือ User Input ต่างๆ ที่ สามารถกระทำกับ Component นั้นให้ได้ถูกต้องตามลักษณะ
    ยกตัวอย่างเช่น setEnabled หรือ setVisible จะเป็น "Behavior" ของ Component ทุกอันที่จะต้องมี ...
  3. View
    หรือที่เรียกอีกอย่างว่า UI ... การที่ Component จะทำงานได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหน้าตาของ
    Component นั้น มีหน้าตาเป็นอย่างไร ... ตัวอย่างง่ายๆคือ ปุ่มแบบ Turn On/Off  ...
    เราอาจจะใช้ RadioButton แทนการใช้ Button ธรรมดาที่จะต้องมานั่งเขียน Code
    ในการเปลี่ยนสถานะปุ่มอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันแทนก็ได้ ...

ซึ่งในการเปลี่ยน View หรือ UI นั้น ใน Swing เรียกว่า UI Delegate โดยมีลักษณะตาม
Sequence Diagram ข้างล่างนี้


จะเห็นได้ว่า แต่ละ Component จะมีการไปเรียกใช้ UIManager ซึ่งเป็น class กลางของ Swing ...
จึงทำให้เกิด Concept ที่เรียกว่า LookAndFeel ขึ้นมา ... ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยน UI
ได้อย่างที่เราต้องการ

สรุปแล้วโดย Architect ของ Swing เองก็ออกแบบ มาได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพมาก
มีความเป็น "Mature" UI ToolKit ที่เหมาะในการทำ Application พอสมควร ....

ซึ่งเนื่องจาก Application เดิม เป็น AWT Component ทั้งหมด จึงต้องมีภารกิจในการเปลี่ยน
ให้เป็น Swing เพื่อใช้ Architect ที่ว่านี้ ....
แล้วจะทำได้ยังไงบ้าง ? เจอกันตอนหน้าครับ :)

วันอังคาร, มกราคม 18, 2554

[Blog] 1 ปี กับ SmartPhone ...


และแล้วเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ...
ในที่สุดก็ได้ใช้ SmartPhone มาเกือบๆ 1 ปีได้ ... ครับ
เจอเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ... ตอนนี้เลยอยากมารวม Refresh อีกครั้งนึง
เพราะปีนี้ ... ก็ต้องกลับมานั่งตัดสินใจอีกครั้งเช่นเดียวกับปีที่แล้ว ... อีกครั้ง ...
เรามาย้อนดูกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ... ทำไม ถึงต้องย้อนมาอยู่ที่จุดเดิม ....

เมื่อปีที่แล้ว ...
จาก Blog เก่า ได้มี โพสเกี่ยวกับ จุดเริ่มต้น ... ของการตัดสินใจซื้อ Smart-Phone
ก็ได้ตัดสินใจเป็น สาวก BB ครับ ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ หลายๆ อย่าง ...
ไม่ว่าจะเป็น
...  บทเรียนเรื่อง CDMA กับ GSM  ที่ต้องเปลี่ยนจาก BB 9550 เป็น 9520 ...
... ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ .. ทั้งใน BB ...  พร้อมทั้ง FB และ Twitter ...

และอื่นๆ อีกหลายๆ อย่างที่ทำให้แอบอมยิ้มได้ :P ...
แต่ในเมื่อมีสุข ... ก็ต้องมีทุกข์ด้วยเช่นกัน ...

Expectation หลักๆ ที่หันมาใช้ SmartPhone คือ
ต้องการใช้ Application ที่อยู่บนมือถือ ...
ซึ่งแน่นอน Platform ที่ใช้สำหรับรัน application นั้น
จำเป็นที่จะต้องมี Bug ค่อนข้างน้อย ...
รวมไปถึง ... ตัว Application เอง ก็ควรจะไม่ค่อยมีบั๊ก
หรือ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรมี Work around ให้บ้าง ....
แต่ด้วยความซวย สองชั้น ไม่ว่าจะเป็น ...

RIM ประกาศไม่พัฒนา OS 6 สำหรับ BlackBerry Strom ...
รวมไปถึง ... Bug ของ Keyboard ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขได้ดีนัก ...
เลยทำให้ ปัญหาเหล่านี้เริ่มเป็นดินพอกหางหมูจนยากที่จะแก้ไข
ในส่วนของพฤติกรรมการใช้งาน (ของตัวเอง) ที่พยายามปรับตัวเอง
ให้เข้ากับ Bug ของโทรศัพท์จนเรียกว่า  ..
ไม่สะดวกที่จะใช้โทรศัพท์(แบบคนปกติ) แล้วก็ว่าได้ ....

ส่วนนึงก็มานั่งคิดว่า เพราะใช้งานโหดไปเหรอเปล่า ...
เลยทำให้หงุดหงิดเร็วกว่ากำหนด ...
( แค่เปิด MSN + GTalk + Twitter + Facebook .... เอง ...)

แต่หลังจากได้เรียน Marketing ที่เรียนโทอยู่ ...
ก็ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากยิ่งขึ้น .....
สุดท้ายก็ได้แต่มานั่งคิดว่า ...

ก็ตัวเองเลือกที่จะซื้อ Special Phone ... ไม่ใช่ Flagship Phone ...
ก็ต้องซวยไป ....

ซึ่งคราวนี้ ... ต้องกลับมาตัดสินใจอีกครั้ง ...
ส่วนสุดท้ายตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนไปใช้อะไร ...
หลายๆ คนคงรู้แล้ว ... แต่ไว้มาบ่นใน Blog อีกทีครับ :)

วันพุธ, มกราคม 05, 2554

[Blog] My 2010

ได้เวลาลงของดอง ...
หลังจากที่ทำ self assessment ไปแล้ว ...
มาดูกันว่า ปีนี้ archive อะไรไปบ้าง ...

Jan 2010

  • ย้ายจากบ้านมาอยู่หอ ... ด้วยความคิดที่ว่าบ้านไกลกลับลำบาก ...
    มาทำงานไม่ทัน .... เลยทำให้ตัดสินใจอยู่หอเป็นครั้งแรก แม้ว่าช่วงเรียน
    ป. ตรี จะฟิต กลับบ้านทุกวันก็ตาม .... ก็เหงาบ้าง เซ็งบ้างแต่ก็อยู่มาได้ปีนึงแล้วเนอะ ....
  • คุณแม่เข้าโรงพยาบาล ... เป็นอีกครั้งที่กังวลมากเกี่ยวกับสุขภาพของคุณแม่ ...
    แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
  • คะแนนกลางภาคห่วย ... ปกติเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่งอยู่แล้ว ... แต่ก็อดแอบเซ็งไม่ได้ ...
Feb 2010
  • เริ่มปั่น DB Project ( ร้านขายเสื้อ screen online )
  • แต๊ะเอียก้อนโต ให้หลานๆ T^T ... แอบเศร้า แต่ก็แอบภูมิใจ
    ที่เราสามารถเดินมาได้ถึงจุดที่ต้องแจกหลานๆ แล้ว :)
  • เริ่มสอบ Final .... หลังจาก เดือน jan ยังเซ็งไม่หาย มาเดือนนี้ก็เริ่มสอบ Final ซะแล้ว ...
Mar 2010
  • ตัดสินใจซื้อ BlackBerry ( Storm2 9550 )
    เพราะมือถือเก่า มันเริ่ม charge battery ไม่เข้าแล้ว
    (ขั้วทองแดงที่มือถือ ต้องเปลี่ยนใหม่) ... บวกกับกระแสมาแรง เลยจัดไปกับเค้าหน่อย ...
  • ปั่น SA Project ( ระบบโรงพิมพ์ ) ทำกันหามรุ่งหามค่ำทีเดียวเลยเธอว์
  • ปิดเทอม !!! เป็นอะไรที่ดีใจมากๆ .... ไม่คิดว่าเรียนโท จะเหนื่อยขนาดนี้ ๕๕๕ (ตอนนั้น)
Apr 2010
  • เป็นช่วงที่เริ่มว่าง .... ก็เลยมีเวลานั่งลบ Contact บน Facebook ออก ...
    ใครที่ไม่ค่อยได้คุย หรือจำหน้าไม่ได้ ก็จัดไป .... 
  • ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นไปกับ eAthena ( RO Serv เถื่อน ) ...
  • กีฬาสีเริ่มปะทุ .... เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมี war บน Facebook ด้วยเช่นกัน ...
  • ได้ดู แปดเทพอสูรมังกรฟ้า version 1996 อีกครั้ง ....
    เป็นภาคที่ชอบที่สุด แม้จะไม่มี หลิวอี้เฟย ก็ตาม T^T
  • ได้ฤกษ์ถอย BB ใหม่ ( Storm2 9520 ) เพราะเจ้าตัว 9550 ไม่ support IP Modem
    (หรือ config อะไีรผิืดไม่รู้) เลยจัดตัวใหม่ จากศูนย์ AIS เลยทีเดียว ...
พอมี BB ที่(ค่อนข้าง)เสถียร แล้ว ก็เลยได้ ฤกษ์ ชีวิต always online เพิ่มเติมเข้ามา ....

May 2010
  • คนไทยเผาเมืองตัวเอง ... ไม่รู้คิดได้ัยังไง
    แต่ก็ต้องขอประนามหน่อยที่หาทางออกได้แย่มาก
  • กว่าจะรู้ตัวว่าต้องเปลี่ยน แอร์ใหม่ , พัดลมใหม่ (ของแถมจากแอร์) ....
    ก็ช่วงปลายๆ หน้าร้อนแล้ว ...  
  • สวนสยามพาเพลิน .... เนื่องด้วยเค้าเผาเมืองกัน ...
    จึงต้องหนีไปเที่ยวชานเมืองดังเช่นสวนสยาม ... คนน้อย เล่นสบาย
    เสียดาย ที่ไม่ได้มีบัตรเล่น vertex (ซื้อหน้าเครื่องเล่น 300)
  • ได้ดูขงจื้อ พบ สัจธรรมเที่ยงแท้ มากขึ้น ๕๕๕
  • ตะลุยเที่ยว สามชุก แบบนั่งรถตู้ ... เหนื่อยแต่ได้ประสบการณ์ดีๆ เยอะ :)
  • #Fail กับ อากู๋ โค้ดแหล่ม ... เป็นปีแรก ที่ทำไม่ได้เลย - -'' (ถูกแค่ข้อย่อยข้อเดียว)
  • น้องกอล์ฟ ผ่าน probation .... ยินดีด้วย :P 
  • ฉลองวันเกิดที่เขื่อนรัชประภา .... ไปกับแกงค์พี่ๆ ที่ออฟฟิศ ...
    ได้นอนแพครั้งแรก กับเห็นทะเลหมอกบนยอดเขา .... ก็คราวนี้แหละ ....
  • และเป็นอีกครั้งที่ได้กลับมาคุยกับคนที่ไม่ได้เจอกันมา 10 ปี :)
Jun 2010


  • เปิดเทอม !!! เวลานรกกลับมาอีกครั้ง !!
  • ฝนตกนรกแตก ... น้ำท่วมจนหา รองเท้าเปลี่ยนใส่แทบไม่ทัน ...
  • ครั้งแรกที่ได้ไปกินเนื้อย่าง ที่ โนบิตะ .... จะบอกว่าปลื้ม มวากกกก
  • ครั้งแรกกับละครเวที ถาปัตย์ฯ จุฬา ( SnowWhite )... ฮามาก มุขโดนใจ
    ไว้มีโอกาส ได้ไปอุดหนุนอีกแน่นอน
  • ครั้งแรก กับ DreamWorld ... โตมาจนป่านนี้เพิ่งได้ไป ....
    (แอบมีคู่หนุ่มสาวที่เรียนโท ไปหวีดกันด้วย ๕๕)
  • ได้พบว่า ... ร้าน TreeCreeper ... ราคามหาโหดมาก T^T ....
    แต่ HoeGaarden อาหย่อย (มันจืดๆ) :P
  • ติดเกมส์ Battle Station (บน FB) จนงอมแงม ...
  • และเป็นอีกเดือนที่ .... ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง :)
Jul 2010


  • ไปถ่ายรูปงานรับปริญญา ให้ CloverLeaf ที่ มหิดล ....
  • พบว่า ลันตา พิซซ่า มี หลายเจ้า ....
  • ครั้งแรก กับ อัมพวา ... พร้อมกุ้งตัวเท่าแก้ม อ้วนนิตย์
  • mid-year party ... จัดเต็ม .... มาวไม่รู้เรื่อง 
  • เริ่ม Block เกมที่ไม่เล่นบน Facebook
  • เริ่มเหนื่อยกับการเรียน ป. โท
  • ได้ดู Inception ระหว่างอ่านหนังสือสอบ OO
    เพื่อความเข้าใจ inception phase มากขึ้่น(เกี่ยวไม๊)
  • MLM เริ่มระบาดใน Facebook ...
Aug 2010

  • ครั้งแรกกับ Mi Ra Ku  Yakiniku .... อร่อยขั้นเมพพพพพพพ
  • จัดหนัก KingKong ... เพราะร้านข้างบนไม่บุฟฯ
  • ขนมชิ้นแรกจากเธอ .... Royce ... ผสม วิสกี้ กินแล้วเมารัก ...
  • กลับมาตีแบทมินตัน อีกรอบ ... งัดไม้คู่ใจกลับมาใช้อีกครั้ง
  • RET Team Building .... สนุกสุดเหวี่ยง ...
  • a dai (kin) เข้าสู่เล่มที่ สาม ...
  • เรียน MA เริ่มเอามาคิดกับชีวิตจริงว่า ... เริ่มอยู่หอไม่คุ้ม
  • ThumbDrive หาย ....
  • ยิงแย้กับพี่จิม เรย์โน ... จบภายใน 2 อาทิตย์
Sep 2010

  • ได้ลอง Krispy Kreme ก่อนใคร ( มา โฆษณาที่ออฟฟิศ )
  • Macha Toast อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา 
  • เปิดตัว EiKon กับ Cup Cake
  • ปฎิมากรรม แก้ว Big Gulp ก่อนที่จะโยนลง ถัง ...
  • ครั้งแรกกับการอยู่ที่ตึก จามจุรีเก้า ยันเช้าตรู่ ....
  • ซ้อมหนีไฟ ... รอบที่สองของปี ....
  • โปรโมท eikon กับ .... หัวหน้าแกงค์ #Hewww
    More .. เธอก็พี   ....
    และ....
    Less.. เธอเดอะบั๊ก
Oct 2010

  • ปิดเทอม !!!!
  • ครั้งแรก กับ D3vF3st ... ได้พบศาสดา หลายพระองค์
  • อำลา Multiply เป็นการถาวร
  • มาเริ่มเขียน Blogspot เป็นชิ้นเป็นอัน
    ซะทีหลังจากปล่อยร้างมานาน 3 ปี ...
  • นั่งง่วนเล่นกับ Final Fantasy : The 4 Heroes of Light 
  • เสื้อรุ่น IT 18 Ex เสร็จ ... พร้อมส่งมอบ ..
  • ไหนๆ เรียน IT มา ... ก็เลยมีความเห็นเรื่อง QR Code กับการใช้โดยไม่สนใจ User Experience 
  • เก็บหนังตกสำรวจ อย่าง Kick-Ass
  • ทริป รักแล้ว รักเลย ที่เชียงคาน ... กับไข่กะทะ มื้อที่อร่อยที่สุด
  • งานรับน้อง  IT 19 Ex ไปแบบ ชิวๆ ...
  • ต้อนรับการกลับมาของ @khajochi ด้วย เจ๊ทแหลก
Nov 2010
  • ดูหนังเรื่องแรก ... กับเธอ ...
  • เดือนแห่งชะตากรรม ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน ....
  • หลังจาก ศึกษาความแตกต่าง ระหว่าง MBP และ MBA ....
    ในที่สุดก็ ตัดสินใจซื้อ MBP  ( MacBook Pro ) ที่ราคา $850 
  • Krispy Kreme แถวด่วน ... ด้วยความสองมาตรฐาน ...
  • ลอยกระทงคนเดียว ที่จุฬา แบบชิวๆ ... โชคดีที่ไม่เจอเต่า ...
  • ถอย Break Blade มา 8 เล่มรวด ... หลังจากที่ได้ดู Anime ไป สองตอน
  • Gundam UC # 2 .... ดาวแดงแรงสามเท่า ... Full Frontal เมพมาก ... 
Dec 2010

  • งานบุญประจำปีพี่ต้อย ...  ทำให้ ทัศนคติ เกี่ยวกับ Choice เปลี่ยนแปลงไป ...
  • ครั้งแรกกับ cicada market .. กับพวงกุญแจที่ฝากความคิดถึง ...
  • ระหว่างงานบุญประจำปีพี่ต้อย ได้ดู Love Happens ฉายทาง HBO ไม่จบ
    กลับมาเลย หามาดูโดยพลัน
  • @khajochi เปลี่ยนไป ... 
  • พบว่า ... Annual Party ทีมข้างบน เต็มที่กันมากมาย ...
  • ครั้งแรกกับ โรงหนัง Lido ด้วยเรื่อง
    Mobile Suit Gundam 00 The Movie: A wakening of the Trailblazerทำให้รู้สึกว่า ถ้าไม่ โอตาคุ เข้าเส้น ... นั่งรอโหลดดีกว่า ... 
  • และสุดท้าย ....

    เป็นเวลาสั้นๆ ที่ได้มีความสุข .....
และส่งท้ายปีกับการอยู่บ้าน ตลอดหยุดยาวปีใหม่ ....
แอบกลับไปอ่านแล้วเยอะแฮะ ๕๕๕ ปีนี้ คงมากกว่าปีที่แล้วแหงๆ ... 




วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 28, 2553

[Blog] เมื่อ MBA vs MBP


ช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นมรสุมใหญ่ในหลายๆ เรื่อง
แต่เรื่องหลักๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องงาน กับ ค่าเทอมเรียนโทฯ 

แต่ก็มีเรื่องดีๆ ผ่านเข้ามาให้หัวใจได้พองโต บ้างเหมือนกัน ^^
ไว้จะเล่าใน Blog ต่อไปครับ :)

แต่ใน Blog นี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องกิเลสของตัวเอง (อีกแล้ว) 
เมื่อไม่นานมานี้ ศาสดาได้ นำเสนออุปกรณ์รุ่นใหม่ ที่มีชื่อว่า MBA ( MacBook Air )
ซึ่งเป็นรุ่นที่มีราคาถูกลงกว่าเดิมพอสมควร ... เมื่อเทียบกับน้ำหนักที่เบามากไม่ถึง 1.5 kg.
MBA ก็เป็น notebook  อีกตัวที่มีกิเลสอยู่พอสมควร ... 
ยิ่งได้ฟัง @Khajochi บรรยายถึงสรรพคุณแล้ว ...
ยิ่งเกิดกิเลส ... แต่ถึงยังไง ก็มี Plan ไว้แล้วว่าจะต้องถอย notebook สำหรับทำ IS อยู่แล้ว 
ตอนนี้ก็เลยดูๆ ไว้ก่อน เพราะยังไง ก็ต้องรอให้ proposal ผ่านก่อน
ถึงจะมานั่งคิดว่าจะืซื้อ notebook แบบไหน 
แต่ตอนนี้ก็มานั่งวิเคราะห์กันลืม เพราะหากเกิดกิเลส บ่อยๆ อาจจะหน้ามืดตามัว 
ถอยมาใช้ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ...

ด้วย spec ของ MBA 13" เมื่อเทียบกับ MBP 13" ในราคาที่ใกล้เคียงกันแล้ว
พบว่าส่วนที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ

1. น้ำหนัก ... 
MBA เบากว่้าเห็นๆ ...

2. RAM .... 
MBA ได้แค่ 2GB แต่ MBP ได้ 4GB

3. HDD .... 
จุดนี้ค่อนข้างสำคัญเพราะ MBA ได้เป็น Flash Storage ที่มีความเร็วน้องๆ SSD
แต่ MBP ได้แค่ HDD ธรรมดา ...

4. Back lit Keyboard
MBA รุ่นใหม่ ไม่ได้แถมมาให้ด้วย ... ซึ่งเป็นข้อที่ทำให้ค่อนข้างเขวหากคิดจะถอย MBA

5. CPU
ถึงแม้ MBA และ MBP จะมี CPU เป็น Core 2 Duo เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ speed ของ CPU
โดย MBP จะแรงกว่า นิดหน่อยครับ

ซึ่งถ้ามองกลับกัน หาก เงิน ไม่ใช่ตัวแปร ....
อยากได้ MBA ที่มี spec พอๆ กับ MBP จะต้องเพิ่มเงินประมาณ 8 พันบาท 
ถึงจะได้ spec ที่ไล่เลี่ยกัน .. แต่ด้วยมีเงินน้อย .... ต้องใช้สอยอย่างประหยัด ....
การเลือก MBP อาจจะเป็น choice ที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ก็ต้องรอดู mid 2011 ครับ ว่าจะมีตัวใหม่ออกมาอีกไหม .... 

ที่อยากได้ MacBook มาใช้เพราะจะได้เอามาลองทำอะไรหลายๆ อย่าง ...
จากที่เคย Failed กับ Product ของ Apple ตามมาด้วย Product ของ RIM 
ตอนนี้เลยกลับมาลองกับ Product ของ Apple อีกครั้งว่าจะเป็นเช่นไร ....

โดยส่วนตัว ไม่ค่อยได้เอา notebook มานั่งเล่นเกมส์อยู่แล้ว ... (ถึงจะมีบ้างบางครั้งคราวก็เถอะ)
แต่ถ้าการตัดสินใจซื้อ notebook ผิดพลาด ... ก็อาจทำให้เราเซ็งได้เหมือนกัน ....

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 14, 2553

[Blog] QR Code, What's the matter ?


เมื่อ สามปีก่อน สมัยยังเป็น Geek กว่านี้ (หรือตอนนี้ Geek กว่าไม่รู้)
เคยสนใจเจ้าตัว Barcode 2D ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า QR Code http://bit.ly/cVDVzI
เหตุของความสนใจจริงๆ มันเกิดจากว่าไปเข้าเวปของพี่ยุ่น ทั้งหลาย ในแต่ละเวป
เกือบ 80% จะต้องมี ภาพแปลกๆ อย่างข้างบน ติดอยู่ ..... ติดที่เดียวไม่พอ
ติดใน นิตยสาร, ใบเสร็จ, นามบัตร โอ้ยเยอะแยะไปหมด
พอลองมาหาข้อมูลในเมืองไทย กลับเงียบเป็นเป่าสาก ....
อาจเป็นเพราะ มือถือยังไม่ boom เหมือนตอนที่ iPhone เข้ามาไทย ...

จนมาถึง วันนี้ ปี 2010 ... ประเทศไทยมี QR Code ให้ใช้แล้วครับ !!
ต้องขอบคุณศาสดา จ๊อบส์ ที่นำความเจริญมาสู่ชาวไทย ชาบู ชาบู !!

แน่นอนตาม ธรรมเนียมคนไทย กี่ยุคกี่สมัยก็ไม่ต่างกัน (ผมคนนึงก็เป็น)
นั่นคือ "เบอร์ห้า" ครับ ..... แต่เนื่องจาก เคยเบอร์ห้า ไปแล้ว เมื่อสามปีก่อน
มาในวันนี้ เลยไม่ได้เบอร์ห้าไปตามกระแสเท่าไหร่นัก
เพราะเหมือนว่าเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว
เมื่อก่อนถึงขนาดมีคนบอกว่า เมืองไทยไม่ใช้กันหรอก
มาถึงตอนนี้ก็แอบขำเหมือนกัน

เอาล่ะ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า QR Code ไว้ทำอะไร ....
หาอ่านได้ที่นี่ ครับ http://bit.ly/bqEld2

สรุปคร่าวๆ ให้ละกันว่า เป็น ฺฺBarcode ที่ สามารถบรรจุ text / data ได้
เยอะพอสมควร ตามตารางด้านล่างครับ


ที่มา : http://bit.ly/bqEld2

ด้วยกระแส ของ IT เมืองไทย เริ่มมีการเอา QR Code มาใช้กันแล้ว
ทำให้มีหลายคนคิดว่า การนำ QR Code มาใช้
จะแสดงถึงความเป็นผู้นำทางด้าน IT ?

โดยความเห็นส่วนตัว Style Geek ....
ก็ถูกครับไม่เถียง การนำ Technology มาใช้เป็นสิ่งที่ดี ...
Put the right man in the right job ก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำด้วย
เทคโนโลยี ก็เช่นกัน ....

QR Code โดยพื้นฐาน สามารถเก็บข้อมูลตัวอักษรได้เยอะก็จริง

แต่

การใช้งานจริงๆ ของ QR Code ล่ะ ใช้ทำอะไรบ้าง ?
ถ้าตาม wiki บอกไว้ดังนี้ครับ
คิวอาร์โค้ด (อังกฤษQR Code) หรือ เรียกว่าบาร์โค้ด 2 มิติ คือรหัสชนิดหนึ่งซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขาวดำ นิยมใช้เก็บข้อมูลสินค้า เช่น ชื่อสินค้า ราคาสินค้า เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และชื่อเว็บไซต์

ซึ่งเมื่อคำนึงถึงพื้นฐานของโทรศัพท์มือถือ แบบ ideal แล้วล่ะก็ ...
การที่จะเอา QR Code มาใช้ คงมีได้ไม่กี่ลักษณะคือ


1. เป็น Phone Number
2. เป็น URL 
3. เป็น Text ไว้ส่ง SMS

พอกลับมามองในปัจจุบัน กับ ประสิทธิภาพจริงๆของ QR Code จะเห็นได้ว่า
เรายังสามารถเพิ่ม feature ได้มากมายลงใน QR Code ซึ่งการที่ QR Code
ที่สร้างขึ้น จะมีประสิทธิภาพ มาก หรือ น้อย ไม่ได้อยู่แค่เพียง Code ที่เรา Gen
แต่ ขึ้นอยู่กับ QR Reader และ Application เบื้องหลังที่จะนำ QR Code นั้นๆ ไป process

ดังนั้น การนำ QR Code จึงควรคำนึงถึง กราฟด้านล่างครับ (ได้นิยามมาจาก DevFest)


แน่นอน ว่า QR Code ก็มี version ... 
การใช้ advanced Feature ต่างๆ เกิดจากการปรับปรุงใน version ก่อนหน้า
การใข้ QR version ใหม่ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ QR Reader version ใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เอง ... ปัญหาโลกร้อน เลยเกิดขึ้นครับ ... 
เพราะหาก code ที่ gen ขึ้นมา แต่อ่านไม่ได้ มันก็ไม่ต่างจาก ขยะ ดีๆ นี่เอง 
คำถามเดิมๆ ซ้ำๆ เลยบังเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการใช้ QR Code

คำถาม ...... 
แล้วเราสามารถ "บังคับ" ให้ทุกคน 
upgrade หรือใช้ QR Code Application เพื่อจะมาอ่าน Code ที่เรา gen ได้ ?

คำตอบ ..... ก็มี 2 แบบ ครับคือ
- ได้ ครับ ถ้าคุณเป็นคนที่มี "อิทธิพล" มากพอ
หรือ ...
- ไม่ได้ ครับ คุณมีสิทธิ์ อะไร มาบังคับให้เค้าทำ ?

ซึ่งไม่ว่าคำตอบไหน ... ก็ดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่เถียงเป็นปี ก็ไม่จบ ....
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็น hint คำตอบในตัวคำถามเอง คือ

แล้วเราสามารถทำให้ QR Code ที่ gen ขึ้นมา ใช้ได้กับทุกคน ได้ ?

ถ้า้เจอคำถามนี้ ก็มีอีก 2 ทางเลือกเช่นกัน ... แต่จะไม่ใช่ ปัญหาโลกร้อน แบบด้านบน ...
แต่จะเป็น ... ทำได้ กับ ใช้วิธีอื่น ที่ไม่ใช่ QR Code

การที่จะบอกว่้าทำได้นั้น ยังต้องคำนึงถึง data
ที่จะนำมาแสดงว่าสมควรเป็นรูปแบบใด
ด้วยความที่ โทรศัพท์ มือถือเป็นสิ่งที่มี fragmentation มากที่สุด ...
การที่จะให้ทุกคนที่ใช้ โทรศัพท์ มือถือ สามารถเข้าถึงได้มากที่สุด
จึงต้องเลือกวิธีการที่ Simplicity มากที่สุด

สรุปส่งท้าย
- QR Code เป็นแค่ Technology ที่ สามารถ เลือกใช้ได้ ( Optional ) ไม่ใช่ ต้องเลือกใช้ ( Required )
- QR Code อ่านไม่ได้ อย่าโทษคนใช้ หรือ เทคโนโลยี ให้โทษคนทำที่ "กาก"
- QR Code อ่านได้ แต่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่อ่านไม่ได้ อย่าทำเลยดีกว่าไหม ?
- QR Code เป็นแค่ ช่องทาง input data ไม่ใช่ทั้งหมดของ data


ขี้เกียจเขียน SWOT .... เอาแค่นี้ละกัน