Pages

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2010 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2010 แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคาร, ธันวาคม 28, 2553

Self Assessment 2010 - ไม่ดีพอ

เครียดเกิน พยายามอยู่นิ่งๆ เพื่อหาทางออกให้ตัวเอง ....
ก็รู้สึกไม่ช่วยอะไร แถมพาลให้นอนไม่หลับอีก ...
(พยายามนอนตั้งกะ 5 ทุ่ม จนบัดนี้ตี 3)
หนังสือหนังหา อ่านไม่รู้เรื่อง เครียดเป็นทวีคูณ
สุดท้าย ขอมานั่งบ่นใน blog หน่อย เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น ...

ไหนๆ จะขึ้นปีใหม่แล้ว ก็ไม่วายเจอเรื่องแย่ๆ ส่งท้ายปีเก่า ....
พอดีนึกคำสั้นๆ ที่ใช้อธิบาย ความหมายของปีนี้ได้ ...
ก็เลยจัดหน่อยครับ ....

จริงๆ มันมาจากประโยคที่คิดไว้เต็มๆ คือ "2552 ไม่พอดี , 2553 ไม่ดีพอ"
ไอ่คำว่าไม่ "พอดี" กับ "ดีพอ" นึกมาจากหนังเรื่อง 32 ธันวา
เป็นหนังไทยอีกเรื่องที่แอบโดนใจ ก็เลยได้เอามาใช้
สำหรับปีนี้ .... มันก็ปีนึงแล้วสินะ .....

จะไม่ขอพูดว่าทำไม 2552 ไม่พอดี ...
เพราะมันผ่านมานานมากจนนึกไม่ค่อยออก
(หรือไม่อยากจะจำ จำแค่ว่ามันไม่พอดี)
เอาล่ะ มาดูกันดีกว่า ว่าทำไม ... 2553 ไม่ดีพอ ...

ไม่ดีพอ ... ที่จะรับผิดชอบทุกสิ่งอย่าง ...
แน่นอน ว่าโตๆ กันแล้ว ... ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้น ...
แต่ในความรับผิดชอบนั้น มันก็จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ ..

  1. Willing to do  หรือ อาสาที่จะทำ 
  2. be forced to do หรือ จำใจ(โดนบังคับ)ที่จะทำ ....

ไม่ว่้าแบบไหนก็ตาม ต้องเข้าใจธรรมชาติ ของ มนุษย์ปุถุชน ว่า
คนเราต้องการมีอิสระในการตัดสินใจ ว่าสิ่งใดที่ตนนั้นอยากทำ/ไม่อยากทำ ...
และไม่มี มนุษย์คนใดนั้น perfect .... ชีวิตก็จะไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก
โดยส่วนตัวแล้ว ถ้าเลือกได้ จะเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งที่ถูกบังคับ ...
แต่ในเมื่อคนเราำไม่ได้เลือกเกิดได้ ไม่ได้เลือกตามใจตนเองได้ทุกอย่าง
การที่อยู่ในตำแหน่งที่ตัวเอง "ไม่อยากทำ"
แล้วมีคนอื่นมาคาดหวังความรับผิดชอบจากสิ่งที่เราไม่ได้อยากทำนั้น
ทำดีก็แค่เสมอตัว ทำไม่ดีก็โดนด่า .... มันก็บั่นทอนกำลังใจได้เหมือนกัน
เพิ่มเติม ... พอดีได้ไปอ่านของ siross.com
แล้วเจอ บทความเรื่อง The Peter Principle (หลักการแมลงสาบ #แซว)
ถ้าไม่ right man in the right job .... มันก็ไม่ดีพอซักเท่าไหร่

ไม่ดีพอ ... ที่จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีได้ ...
การเป็นที่ปรึกษา สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการให้คำปรึกษา คือ
"อย่าไปอินกับเรื่องที่คนมาขอคำปรึกษา" เพราะเมื่อใด
เราไปอินกับมัน มันจะทำให้เราเกิด "อารมณ์ร่วม" ไปด้วย ...
การเกิดอารมณ์ร่วมไม่ใช่เกิดได้เพราะ อินกับเรื่องนั้นได้อย่างเดียว
แต่ด้วยความที่เป็นห่วงมากไป บางครั้งก็ทำให้ "อิน" ได้เหมือนกัน
พอกลับมาดูตัวเอง ก็พบว่า มักจะ "อิน" กับเรื่องที่คนมาปรึกษา
เพราะด้วยใจที่มีความเป็นห่วงเยอะเกิน .... เลยคงไม่ดีพอ ที่จะเป็นนัก

ไม่ดีพอ ... ที่จะอยู่ในสังคมกาก ๆ ...
อาจจะเป็นเพราะเป็นพวกโลกแคบมากเกินไป ...
หรือมองโลกในแง่ดีจนเกินไป ... จึงมองว่า
การใส่หน้ากากหากัน เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ....
จนไม่อยากเข้าใกล้ ... การคาดหวังความจริงใจ
จากคนที่ตัวเองคิดว่า "ไว้ใจได้" นั้น ถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีพอ
ที่จะอยู่ในสังคมกากๆ นั้นได้ ...
ดังนั้นจึงต้องสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา
เพื่อ encapsulate กำจัดคนกากๆ
ปล่อยให้เค้าอยู่ที่ศูนย์กลางจักรวาลแทน

ไม่ดีพอ ... ที่จะเฝ้ารอ ...
การรอคอย บางครั้งก็อาจจะเป็นการรอเก้อ ...
แต่ถ้าไม่รู้จักรอ จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีความอดทนมากแค่ไหน ....
แต่ก็ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เฝ้ารอ ... มันมีผลกระทบจากภัยธรรมชาติ
เหตุผลเหล่านั้นก็ใช้ไม่ได้เสมอไป หากเมื่อการรอ มันมาใกล้ถึง
จุดที่เลิกที่จะอดทน .... ก็คงไม่ดีพอ ที่จะอดทนต่อไป ....

สุดท้าย ....

ไม่ดีพอ ... ที่จะรักใคร ...
บางครั้ง romantic บ้างอะไรบ้าง ก็เป็นบุคลิกที่มีอยู่แล้ว ...
แต่ด้วยบางเหตุการณ์ที่สภาพจิตใจไม่ปกติ ....
ก็ต้องการกำลังใจ จากใครบางคนบ้าง ...
ซึ่งไม่แปลกที่จะมีความคาดหวัง ...
ที่ว่าอย่างน้อย หากได้คุยแล้ว
จะทำให้ช่วยให้สบายใจขึ้นบ้าง
แต่หากเพราะ ด้วยที่ตัวเองไม่ดีพอ
ที่ไปคาดหวังในสิ่งเหล่านั้น ...
เมื่อคุยแล้วกลับทำให้จิตตกกว่าเดิม ...
ก็รู้สึกผิดได้เหมือนกัน
ว่าสุดท้าย ควรจะรู้จัก cheer up ตัวเอง
อย่างที่เคยทำผ่านๆ มาเสียมากกว่า

บ่นหมดแล้ว หวังว่าจะพยายามนอนได้ละนะ

วันศุกร์, ธันวาคม 24, 2553

รีวิว Tron: Legacy .... พ่อกรูอยู่หนายย


ได้ไปดูมาแล้วครับ สำหรับ Tron: Legacy ... ภาคต่อของหนังระดับ Geek ในปี 1982 ...
ถึงกับลงทุนไปดู IMAX เลยทีเดียว ... แต่ความประทับใจโดยรวมอยู่ระดับปานกลางเท่านั้น ...
อาจจะเป็นเพราะคาดหวังสูงไป ... รวมไปถึงไม่เคยดูภาคแรก ...
เนื้อหางงๆ เล็กน้อยถึงปานกลาง ....
โดยสรุปรวมก็ Ok ครับ ไม่ิผิดหวังมากเหมือน Skyline

[Spoil]
  • หนังไม่ Full 3D ... โปรดฟังอีกครั้ง ... หนังไม่ Full 3D ...
    ถ้าไม่คิดว่าอยากดู ฉากคว้างดิสก์ทะลุจอ ... ไม่แนะนำให้ดูโรง 3D ครับ
  • เนื้อเรื่องทั้งเรื่องคือ ... "พ่อกรูอยู่ไหน" .... หรือพูดง่ายๆ ว่า เด็กกำพร้าตามหาพ่อครับ ...
    ถึงแม้จะเจอพ่อตั้งกะครึ่งเรื่องแล้ว ... ก็ยังเกรียนต่อไปจนถึงจบเรื่อง
  • เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนมาก เข้าใจง่าย ... แต่ concept ไม่หนาแน่นเหมือน The Matrix ....
  • อาจจะเป็นเพราะคาดหวังเยอะในหนังแนวเดียวกันกับ The Matrix ( โลกจริงติดต่อกับโลกเสมือน) .... ทำให้หลายๆอย่าง ... ดูค่อนข้างผิดหวัง ...
  • ตัวละครบางตัวในเรื่อง ทำให้นึกถึง  .... Merovingian ...
  • ฉากต่อสู้ สั้นและเข้าใจยาก คือพยายามทำให้คง concept เกม .... แต่บางฉากก็ดูเฉื่อยเกินไป ...
  • คำคมที่ได้ จากเรื่อง .... "We are the same team" ....
สุดท้ายครับ ... ย้ำอีกครั้ง ... ถ้าพลัง Geek ไม่เข้าสายเลือด .... แนะนำให้ดูโรงธรรมดา ...

วันจันทร์, ธันวาคม 20, 2553

รีวิว Mobile Suit Gundam 00 The Movie: A wakening of the Trailblazer



ด้วยพลัง โอตาคุ เลยแจ้นไปดูจนได้
ไม่รู้เพราะว่าดู Sub Eng มากเกินไปเหรอเปล่า ...
รู้สึกว่า เนื้อเรื่อง conflict กับ ทั้ง 2 season พอสมควร
ดูแล้วเกิดคำถามมากมาย ... แต่ไม่เป็นไรกะดูเอามันส์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ...
และก็ไม่ผิดหวัง ที่ไม่คาดหวังว่า .... หนังญี่ปุ่น จะจบดีๆ ...

มันต้องจบ ART ๆ ทุกเรื่องสิน่า !!!

Toward the Terra ก็รอบนึงละ ....
Code Geass ... ก็ ART ...
ภาค TV ... ก็ ... ART ...

มันเป็น ธรรมชาติของการ์ตูนญี่ปุ่นไปซะแล้ว ...

ไม่เป็นไร ...

สปอยล์ เลยดีกว่า !!


  1. CG ตอนเปิดตัวเจ๋งมาก ... แทบแยกไม่ออกระหว่าง 3D กับ 2D ...
  2. การ์ตูนซ้อนการ์ตูน สนุกกว่า ...  ภาคทีวีอีกนะเธอว์ ...
  3. ทำไม Innovator เยอะจัง (วะ) ภาคที่แล้วมี เซตจิ้น คนเดียว ภาคนี้โผล่มากจากไหนเยอะแยะ ...
  4. ผี ริวองส์ ตามมาหลอกหลอน !!!
  5. ตายกันเกลื่อน ..... มีฉากนึงม่วงมาแต่ไกล ... "ฝากให้เธอช่วยดูแล" เอามากๆ
  6. มีเทพจุติ สององค์ องค์นึงสีน้ำเงิน อีกองค์สีม่วง ... ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย ...
  7. แมงสาบ ... ไม่ตาย ... (มันกลายเป็น joke ของเรื่องไปแล้ว ??)
  8. ฉากต่อสู้ ... มั่วเกิน ... ดูไม่ทัน (หรือว่าแก่เกินไปแล้ว ??)
  9. ไม่มีฉากไหนเท่ห์สุดเท่าตอนเปิดตัวหนุ่มม่วง ...
  10. กันดั้มมันต้องมีรักสามเส้า สินะ ... (แต่ UC ดราม่ากว่าเยอะ ...)
  11. จบด้วย "เพราะเราเข้าใจกัน" !!!!

คาดว่าดูครั้งเดียวพอ ... ยกเว้นจะอยากเก็บรายละเอียด ตอน dvd ออก ...

วันอาทิตย์, ธันวาคม 12, 2553

รีวิวหนังเก่า - Love Happens ( 2009 )



ช่วงที่ไปงานบุญประจำปีของพี่ต้อย
ได้ดูต้นๆ ของเรื่องนี้นิดนุง ผ่านทาง HBO
หยุดยาวคราวนี้ก็เลยหามาดูจนได้ ...


ปกติแล้วไม่ค่อยดูหนังแนวนี้ซักเท่าไหร่


แต่ที่แหวกแนว มาเพราะว่า
ตัวเอกในเรื่องนี้ เป็น วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ วิธีพ้นทุกข์


หนังออกแนวกุ๊กกิ๊กๆ สไตล์ Romantic ... ดูแล้วเคลิ้มตาม ...
แต่ชอบตรงที่ แอบแทรกเรื่องราวให้ไปคิดต่อเยอะดี ...


อย่างเช่น ....


ระหว่างที่ดำเนินเรื่องไปนั้น
ตัวเอก จะไม่ยอมขึ้น Lift เด็ดขาด
ไม่ว่าจะขึ้นตึกสูงแค่ไหนก็ตาม ...
แต่พอคลายปมปัญหาของตัวเองแล้ว ...
ก็ยอมขึ้นลิฟท์เหมือนคนปกติ ...


มีอีกหลายๆ จุด  ... แต่ขอไม่ลง detail มากละกัน หุหุ


แอบเคลิ้มป้า Jennifer aniston ไปซะเยอะ ๕๕
แต่บทของ Aaron Eckhart ได้บารมีจาก The Dark Knight
ที่รับบท 2-Face มาเล่นเรื่องนี้แนวๆ ผู้เชี่ยวชาญ อีก...
ดูดีเลยทีเดียว ...


หนังทั้งเรื่องเป็นเรื่องราวที่เกิดใน Seattle ... ดูแล้วอยากไปเที่ยวเลย
เป็นเมืองที่สวย(เวอร์) มาก ไม่รุเป็นเพราะมุมกล้องหรือเปล่า ...
แต่ก็โอนะ เหอ ๆ






เรื่องนี้ไม่ผิดหวังครับ แต่แอบเสียดายที่เพิ่งได้ดู :)

วันพุธ, ธันวาคม 08, 2553

" Choice "



หลายๆครั้งที่ชีวิตต้องเดินมาถึงทางแยก ...
โดยไม่รู้ว่า เมื่อเราถึงทางแยกนี้แล้ว ....
สิ่งที่จะได้พบเจอต่อไปนั้นจะเป็นอย่างไร ....
แน่นอน คงไม่มีใครอยากจะเดินไป ... 
แล้วพบกับความล้มเหลว...
มีแต่คนอยากเดินไปในทางที่ "คิด" ว่า ...
เมื่อเดินไปแล้วจะมีความสุขในสิ่งที่ได้ "เลือก" ไปแล้ว .. 


แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า ...


สิ่งที่เรา "เลือก" นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขมากที่สุดแล้ว .... ?


ลองผิดลองถูก ... ? 


บางครั้งก็เป็นสิ่งที่เลือกไปแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าเราเลือก "ผิด"
ก็อาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ ...


เคยมีคนบอกว่า 


"Choice ก็เป็นแค่เกมของคนที่มี power มากกว่า
เพราะไม่ว่าเราเลือกอะไร ... ถ้าเราไม่มี power มากพอ
เราก็ทำได้แค่เดินตามทางที่เค้าเลือกให้ไว้แล้ว นั่นก็คือ Choice"


ตัวอย่างง่ายๆ ดังเช่น ...


ไม่ชอบเหลือง .... ไอ่พวกแดง ... กรูยังไม่ได้เลือก ...
ไม่ชอบแดง .... ไอ่พวกเหลือง ... กรูก็ไม่ใช่ ...




... ดังนั้น 


ถ้าเรามี power มากพอ... ที่จะสามารถกำหนด Choice ได้
ก็จะสามารถทำให้เป็นดั่งตามที่เรา "เลือก" หรือต้องการได้ ...


แต่ถ้าเราไม่มี power มากพอ ..... เราจะเลือกได้เหรอ ?


คำตอบคือ ... ไม่มีทาง ... 


... ถ้าเราเป็นคนกำหนด Choice 
ก็จะมีสิทธิ์ "เลือก" อย่างที่เราสบายใจ ....
แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นคนกำหนด Choice ....
พึงสังวรณ์ไว้ ว่ามันเป็นแค่เกมส์ ที่คนหยิบยื่น Choice ให้นั้น
ต้องการให้เราหลงดีใจเล่น .... แค่นั้นเอง


เพราะ... ถ้าเราไม่ได้เป็นคนกำหนด choice ....
เราเองก็เดินบนทางที่ คนกำหนด choice เค้าเลือกไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว ...

วันศุกร์, ธันวาคม 03, 2553

รีวิว Microsoft Expression 4 Studio Ultimate #2


หลังจากที่ห่างหายไปนาน ...
มาต่อกันตอนที่สอง สำหรับ
Microsoft Expression 4 Studio Ultimate ครับ
โดย รีวิวที่สองนี้ จะมาดู component ที่เหลือคือ
Expression design 4 และ Expression Blend






Expression Design 4 เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบ ภาพต่างๆ
โดย Feature หลักๆ แล้ว จะเหมือน photoshop + illustrator นั่นคือ
ทำรูป vector-based เป็นหลักโดยสามารถใส่ raster feature บางอย่างลงไปได้ครับ
(ส่วนตัวคิดว่าคล้ายๆ Macromedia Firework เมื่อก่อน) ตัว UI ค่อนข้างแปลกตา
แต่ Usability ของ UI นั้น ... ยอมรับว่าสุโค่ยมากครับ 
ไม่ว่าจะเป็น spinner ที่ใช้ในการ drag เพื่อปรับค่า
มีการตอบสนองของ UI ค่อนข้างเร็วมาก ....
ระบบ apply style ที่ใช้ยัด effect โดยไม่กระทบกับ
เนื้องานจริงๆ ของเรา โดยส่วนตัวคิดว่า การ work graphic
ที่เป็นระบบ layer ค่อนข้างที่จะมึนพอสมควร
แต่ด้วย expression design 4 นี้ 
ใช้วิธีการ lock component ซึ่งค่อนข้างสะดวก
ก็มีข้อสังเกตุเหมือนกันว่า
ถ้ามี Object ที่ถูกบังไว้เยอะๆ แล้วไปเผลอ lock ไว้
จะทำให้ใช้ยากขึ้นเหรอเปล่า:)




ตัวสุดท้ายแล้วสำหรับ Expression 4 Studio Ultimate นั่นคือ
Expression Blend 4 + Sketch Flow เป็นตัว highlight ของการรีวิว รอบนี้ครับ
ด้วยเหตุผลหลักๆ ที่มานั่งหัดเล่น expression studio
ก็เพราะว่าได้ยินมาว่า Silverlight  สามารถ design ได้จาก app ตัวนี้นั่นเอง ...
ซึ่งเมื่อพอมาลองหัดเล่นแล้ว ... ถึงกับอึ้งเลยทีเดียว อันเนื่องด้วย
ทุกอย่าง สามารถกำหนดให้เสร็จได้ตั้งแต่ยังไม่ coding ...
ให้อารมณ์เหมือน Flash แต่ไม่ได้ control ในลักษณะ timeline
มากนักจะเน้่นไปทางการทำ screen link
ซึ่งจะดูเหมาะกับการทำ application มากกว่าการทำ app แบบ flash ....

เท่าที่เล่นดู การทำ component บน Expression Blend
เหมาะสำหรับการทำ static component มากกว่า custom component
แต่ด้วยเวลาที่ศึกษา มีจำกัด
คาดว่าถ้า Oracle จะขุด JavaFX มาแข่งกับ Silverlight คงจะต้อง
upgrade NetBean ให้มี feature อย่างน้อยเท่า Expression Blend ถึงจะสู้ได้ครับ :)

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 21, 2553

รีวิว : Break Blade - ดาบหัก ตอนที่ 1-2

คั่นเวลาก่อนจะต่อเรื่องเครียดๆ ครับ ๕๕๕  :)
ได้ไปหา fansub มาดูจนได้ สำหรับ การ์ตูนเรื่องนี้ ....






Break Blade หรือ Broken Blade 


เป็น Anime อีกเรื่องที่เอามาจาก Manga มาทำเป็น Anime ครับ
ตอนนี้ออกมาได้ 2 ตอนแล้ว ...
(ออกทุกๆ 3 เดือน มี 6 ตอน ... ดูแก้ขัดกับ Gundam UC พอดี)


เนื้อเรื่องค่อนข้างแหวกแนวกว่าชาวบ้าน ตรงที่ปกติ 
พระเอกจะต้องมีพลังพิเศษ .... 
แต่นี่กลับกลายเป็นพระเอกเป็นคนธรรมดา แต่คนอื่นมีเวทมนตร์ (อ่าวซะงั้น)
ซึ่งแน่นอน ว่า ต้องมี exception บางอย่างที่ทำให้พระเอกเก่งเมพ 
(ก็แน่นอน ถ้าไม่เก่งแล้วจะเป็นพระเอกได้ไง)


นั่นคือ ....


ผ่าง ...... Under Golem
หุ่นไม่สวย แถมให้อารมณ์ลุงหนวด Turn A Gundam อย่างแรง .. 
ในเรื่องนี้จะเรียกหุ่นว่า Golem ครับ ... ควบคุมด้วยพลังเวทย์ ....
แต่เนื่องจากพระเอกไม่มีพลังเวทย์  หุ่นก็เลยเมพ กว่าชาวบ้าน
แถมออกแนวดึกดำบรรพ์ ไปนิด .... 


เนื้อเรื่องสปอยล์ คร่าวๆ มีดังนี้ครับ ...


ตัวเอกชื่อ Lygetto เป็น คนที่ไม่มีพลังเวทย์ แต่พ่อของ Lygetto พยามให้ตนนั้น 
สามารถเข้าไปเรียนโรงเรียนของคนที่มีพลังเวทย์เรียนได้ ... จึงได้มีเพื่อนอยู่ ...3 คน ...
Rashul - เป็นรัชทายาท ของประเทศ
Chikew - สาวสวยประจำแกงค์
Zetsu - น้องนายพลของอีกประเทศ ....
แต่ด้วย พ่อของ Lygetto ไม่มีเงินมากพอที่จะส่งให้ Lygetto เรียนต่อ ... 
Lygetto ก็เลยต้องออกจากโรงเรียน ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ไม่เห็นด้วย ...


เวลาผ่านไป ...


หลังจาก Rashulได้เป็นกษัตริย์ ได้เรียก Lygetto มาพบอีกครั้ง 
เพื่อให้ช่วยเหลือในการค้นคว้า Under Golem ที่ไม่มีใครสามารถขับได้ ...
เรื่องราวต่างๆ จึงเริ่มต้นขึ้น ....


ชอบ Concept ของเรื่องนี้ตรงที่มีข้อคิดโดนใจ ...
เช่น .... "จงขัดขืนชะตากรรม"  
หรือแม้แต่ "ที่ได้ขัดขืนชะตากรรม พ่อของนายนี่ช่างวิเศษ เป็นฉันคงทำไม่ได้" 


โอ้ววว โดนใจมากจอร์จ ๕๕๕
เพราะอย่างน้อย .... 
ได้พยามแล้ว ยังดีกว่าไม่ได้พยามแล้วมาเสียใจทีหลัง ชิมิ ... :)


สำหรับ ss ของทั้งสองตอนดูได้ ที่นี่ ครับ :)


http://randomc.net/category/break-blade/

วันพุธ, พฤศจิกายน 17, 2553

รีวิว : Microsoft Expression 4 Studio Ultimate #1



แม้ว่า proposal จะยังไม่คืบหน้าไปไหนไกลนัก
อันเนื่องมาจากลืมนู่นลืมนี่ 


ลืมใส่ thumbdrive บ้าง ....
ลืมเอากลับมาหอบ้าง ...
ลืมเอาไปที่ออฟฟิศบ้าง ...


จนมีการ delay ไปแล้วเกือบอาทิตย์


แต่ด้วยความที่เป็น Geek การที่จะอยู่เฉยๆ 
คงจะเป็นอะไรที่ น่าเบื่อพอควร .. 
สิ่งที่ทำได้สำหรับตอนนี้ คือ รีวิว Tool ที่ "คิด" 
ว่าจะเอามาใช้ทำ master project ครับ ...


หลังจากนั่งหาข้อมูล silverlight มาพักใหญ่ 
ตั้งแต่มันออกจนปัจจุบันจนได้ข่าวว่า ...  
Silverlight จะเดินไปทาง WP7 กับ Application ที่เป็น Enterprise บางตัว


ก็เหมือนๆ กับ Techonology ตัวนี้ ค่อนข้าง Fail สำหรับ Microsoft ...
ที่ยอมถอยให้กับ HTML5 .... แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ silverlight ครับ


วันนี้ประเด็นกลับอยู่ที่ Microsoft Expression 4 Studio Ultimate
อันเนื่องมาจากเป็นอีก 1 Tool ที่หลายๆ เวป เกี่ยวกับ silverlight แนะนำว่า มัน


"เมพ"




ก็เลยไปลองหาเล่นๆ ใน MSDN Academic Alliance Software Center
ก็มีให้เล่นสมใจอยาก ครับ


ไหนๆ เค้ามีให้ลองเล่นแล้ว ... เราก็ไม่ขัดศรัทธา เอามารีวิว ซะหน่อย ๕๕๕


จากที่เล่นคร่าวๆ พบว่า Expression4  นี้
ให้อารมณ์เหมือน Adobe CSX Web Creator Suite มากๆ 
โดยโปรแกรมพื้นฐานที่มีมาให้ มีดังนี้ครับ




สิ่งที่ให้มาสำหรับ Version Ultimate มีดังที่เห็นครับ
หลังจากติดตั้งแล้ว จะมี SilverLight SDK แปะมาให้ด้วย 2 version 
คือ SilverLight 3 และ SilverLight 4 สะดวกดีไม่ต้องไปหา SilverLight มา Bridge เอง


ในแต่ละตัวของ Suite นี้มีอะไรบ้าง .... จะมาไล่กันทีละตัวครับ 
เอาจาำกล่าง ขึ้น บน ละกันนะ ๕๕๕
และเกรงว่าจะยาวไป ก็ขอแบ่งเป็น 2 ตอนนะครับ ....


Microsoft Expression Web 4 SuprePreview 


เป็น Tool ที่ใช้ทดสอบ Web Page แบบ Compatible Mode ครับ
Compatible ยังไง ... สำหรับคนไม่เคยทำเวปแบบจริงๆ จังๆ 
อาจจะเคยประสบกับปัญหา รันบน XXX Browser ไม่เหมือน YYY Browser
Tool ตัวนี้ มาตอบสนองจุดนี้ครับ นั่นคือ มา preview ให้เห็นกันจะๆ ว่า 
หน้า HTML ที่เรา Design มานั้นเป็นอย่างไร .... เรามาดูหน้าตากันเลยดีกว่า ...


IE !!! IE เท่านั้น .... FF กับ Chrome หมดสิทธิ์ !!!
ดังที่เห็นครับ .... IE Only ... แต่จะมี ให้เลือกตั้งแต่ Version 6 ยัน Version 8 ครับ
หมดห่วงเรื่อง Compatible ใน IE ไปได้เลย ... เมพไหมคร้าบบบบ
(ตอนเปิดขึ้นมาแอบอึ้งเหมือนกัน)


ตัวต่อไปครับ ...


Microsoft Expression Web 4 


ผมไม่ขออะไรมากมายครับ สรุปสั้นๆ ว่า มันคือ Front Page หน้าตาเป็น DreamWeaver ...
แต่เท่าที่ดูจากการใช้งาน Microsoft ปล่อยให้ใช้ Tag อิสระมากยิ่งขึ้นครับ 
โดยเฉพาะพวก CSS ... ที่เื่มื่อก่อน เวลาเปลี่ยนสี font หรือแม้แต่ Background
Front Page จะฉลาดมากโดยการทำ CSS ที่มี prefix "ms-" ไว้ให้ ....
ซึ่งถ้าคนใช้ CSS ไม่เป็น ... จะต้องมานั่งแก้ CSS ทีละตัว ซึ่งปวดตับมาก ....
version นี้ ถือว่าทำมาได้ โอเคเลยครับ แต่พักหลังๆ ไม่ค่อยได้เขียน Web ผ่าน
พวก Tool ที่เป็น WYSIWYG มานานมากแล้ว .... ก็เป็นอีก Choice 
สำหรับ คนที่ไม่ถนัด HTML + CSS ครับ อ้อ มี ASP.net Component มาให้ด้วย ...
แต่ไม่ยักกะเห็น Javascript Editor ( Behavior Function แบบใน DreamWeaver ) แฮะ :S


AutoComplete เมพตามระดับมาตรฐาน
อ้อ ... inline Javascript ไม่มี Node โชว์ นะครับ เขียนๆ ในหน้า Design .. ต้องระวังด้วย




Microsoft Expression Encoder 4 


หากเคยใช้ Flash Encoder ที่ใช้ในการแปลง File Video เป็น FLV ... 
Expression Encoder คือทำหน้าที่เดียวครับ คือ แปลง File Video เป็น SilverLight V-1 Format
แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือแปลงเป็น H.264 ได้ด้วย .... ตัดต่อ timeline ได้อีก ตังหาก 
พูดง่ายๆ ว่าเป็น น้องๆ Adobe Premier ครับ แต่ยังไม่ได้ลองเล่นอะไรมากมาย .... 
เอาเป็นว่าใช้ทำงานเกี่ยวกับ File Video ครับ :)


ที่แถมมาให้ด้วยอีกอย่างคือ Encoder 4 Screen Capture 
ที่ใช้ในการอัด Video รวมไปถึง เสียง ขณะที่เรากำลังสาธิต 
หรือ เล่น App บนเครื่องเราแล้วอัดเป็น Video ได้ ... 
ก็สามารถทำให้ลืม Camtasia Studio ไปพักนึงครับ :)




เหลือตัว Highlight ไว้ Part หลัง ... โปรดติดตามตอนต่อไปครับ :)



วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 14, 2553

รีวิว : skyline (2010) ... ดูดตัง มากกว่า ดูดโลก ....





แอบนอยด์ นิดหน่อยกับหนังเรื่องนี้ ...
โชคดีที่บรรยากาศช่วยไว้ ไม่งั้น บ่นมากกว่านี้ อิอิ ... 
เนื้อเรื่องขัดใจมากมายดูแล้ว หงุดหงิด ...
แถมแอบปูเรื่องไว้ภาคสองอีก .... คิดได้ไง ...


คิดว่าทุนสร้างคงน้อย เลยเน้น effect ซะอลังการ ...
ไม่ไหวๆ ขอสปอยด์แหลกเลยละกัน ...


ฉาก Trailer ที่เห็นทั้งหมดนั่น คือสรุปเนื้อเรื่อง .... ที่มีทั้งหมด  
(เพราะมันไม่มีอะไรแตกต่างมากกว่านั้น)


ตัวละครทั้งเรื่องมี main อยู่ ... 6-7 คน


เพื่อนพระเอก มาเร็วไปเร็ว บทโคตรเด่นกว่าพระเอก ...
แต่ดันไป xxx กะชู้ พอถึงคราวหนีเอเลี่ยน
โดนคุณแฟน ให้ไปขับรถคันเดียวกับชู้
สุดท้าย ชู้โดนเอเลี่ยนเหยียบ 
ส่วนเพื่อนพระเอก โดน เอเลี่ยนดูด
หลังจากนั้น มีฝ่ายบู้ โผล่มาแทน


คุณแฟนเพื่อนพระเอก 
โดนเอเลี่ยนดูดเอาเกือบท้ายๆ เรื่อง


ฝ่ายบู้ที่โผล่มาแทนเพื่อนพระเอก 
แอบมีบทเท่ห์ แต่เรียกเสียงฮาได้ทั้งโรง


พระเอกได้พลังพิเศษ แปลงร่างเป็น Decepticon ได้ !!


ปะชะวิ้งงงงงง !!! ขั้นที่ 1 : เนตรสีขาว Activated !!!


นางเอก รอดตายจนฉากจบ


เอเลี่ยน ... ทำบทมาให้ คนธรรมดาสู้ไม่ได้ 
ยิงนิวเคลียร์ ไม่ตาย โดนระเบิดไม่ตาย
แต่โดนพระเอกระเบิดพลัง พร้อม ต่อยด้วยมือเปล่า ดันตาย !!!


เริ่มเรื่องมี instant replay เกือบๆ 5 นาที .... (ไม่ได้มาดูเดจาวู)


ฉาก CG สวยสุดมีแค่ฉากเดียว คือ
ฉากนี้ฉากเดียวจริงๆ คับพี่น้อง ...


ฉากเครื่องบิน Stealth บินฝ่าดงแมลงวัน
ยิงนิวเคลียร์ใส่ เอเลี่ยน


นอกนั้นเฉยๆ ....


หากไปดูแล้ว คุณอาจจะเกลียดแสงสีฟ้า 
มากกว่า สโลแกน "ไม่กล้าแหงนมองฟ้า"
(จะฉายใส่จอทำไมบ่อยๆ แสบตาว้อยยย
เด๋วแปลงร่างเป็น Decepticon มาทุบจอเรยแสดด)


CG ส่วนใหญ่ คิดว่า reuse มาจาก ยานแม่ Decepticon
ในเรื่อง Transformer 2 เพียงแต่เพิ่มไอ้หนืดๆ หยดๆ เข้ามา


CG ระดับ Hollywood ก็เนียน ตามคำร่ำลือ ...


อย่างที่บอกตอนแรกว่า บรรยากาศพาไป ... ถือว่าคุ้มครับ <3
สำหรับคนที่ยังไม่ดู ... แนะนำให้ ... ข้ามไปครับ

วันอังคาร, พฤศจิกายน 09, 2553

รีวิว : Gundam Unicorn #2 - ดาวแดง แรงสามเท่า



เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาได้ หามาดูเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ


Gundam Unicorn ตอนที่ 2 


ภาพประกอบส่วนใหญ่เอามาจาก ที่นี่ ครับ


เอาล่ะ เริ่มสปอยล์ เลยดีกว่า ๕๕๕


  • Unicorn ใน Mode NT-D เมพมาก (ถ้านักบินหมดสติ)
  • ชอบฉากม้วนตัวหลบ funnel กะ beam มากมาย ...
    ฉากไม่กี่วิแต่โชว์ความเมพของ Unicorn อย่างแรง


mode เทพหยิกเข้าสิง !!


  • particle effect สวยมาก ... จนอยากให้น้ำยาล้างจาน re-make ภาค เทพหยิก อย่างแรง
  • Shinanju  ให้อารมณ์ SaZabi version ไม่มี funnel มากๆ 
  • อ่าน sub ...   มีการพากษ์ ว่า
    "กัปตัน , ข้าศึกมี unit ที่มีความเร็วกว่า unit อื่นๆ ถึง 3 เท่า !!!"
ภาค OO มีต่อย ภาคนี้มีเตะ
  • Full Frontal คือ ชาร์ เพิ่มพลัง K แต่ไม่เข้าใจว่าจะเอาปกเสื้อ
    มาบังหน้าตัวเองทำไม ทำให้ดูอ้วนขึ้นไปอีก ...
ชาร์ ชัดๆ !!

  • ปืนของ Unicorn จะแรงไปไหน .... และยัง ช้าได้อีก ...
ยิงไม่โดนหุ่นยังระเบิด กันดั้มเมล็ดถั่วยังอาย
  • Audrey หรือ Mineva Zabi ซึนเดเระ ตาม ฟอร์ม ...
  • ปลายๆ เรื่อง บทสนทนาซะเยอะ และ จบแบบให้ตั้งตารอ ฉากเปิดศึกในตอนหน้า

สรุป ... เป็นอีกตอนที่น่าดูครับ ... รอ ตอนที่ 3 ต่อไป ... 
ช่วง 2 เดือนนี้คงได้หา Gundam OO the Movie มาดูแก้ขัดระหว่างรอไปก่อน :)

วันพุธ, พฤศจิกายน 03, 2553

Renew Vs Renovation

**คำเตือน : บทความนี้ เหมาะสำหรับ Geek


หลายๆ ครั้ง การพัฒนาโปรแกรม ก็มีความยากในการพัฒนา ...
เหตุผลหลักๆ ของการพัฒนาที่ยากนั้น ไม่ใช่เพราะความยากของงาน
แต่เป็นเพราะ solution ที่จะใช้สำหรับงานนั้นๆ มันยากที่จะตัดสินใจ ....
ด้วยโครงสร้าง ของโปรแกรม ที่เป็นลักษณะ Product 
โดยไม่ใช้ 3rd party software มาช่วยทุ่นแรง นั้น ...
สิ่งที่ challenge มากที่สุด คือ การสร้าง compatibility ให้กับตัว Product นั้นๆ 
เพราะเมื่อการที่พัฒนา application ในรูปแบบ Product จะมีข้อจำกัดมากมายที่
Developer ไม่สามารถ control ให้ลูกค้่า(เก่า)ให้ปฎิบัติตามได้ ... 
การเลือก technology  จึงจำเป็นที่จะต้อง คำนึงถึงจุดนี้เช่นกัน ...


การที่ โปรแกรม มีอายุการใช้งานมามากกว่า 3-4 ปี 
โดยพัฒนาตาม Requirement ของ ลูกค้า
จะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างขาด Innovation มากพอสมควร ... 
User Interface เป็นอีกจุดนึง ที่มีความคล้างคลึงเช่นเดียวกับ technology .. 
วันนี้ ใ้ช้ง่าย ... พรุ่งนี้อาจจะมี Interface แบบใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายกว่าแล้วก็ได้ ...  
ความ challenge จึงอยู่ที่ว่า ผู้พัฒนา จะทำอย่างไรให้ โปรแกรมของตัวเองนั้น 
มี UI ที่ UP-TO-DATE อยู่เสมอ ?? 


การเขียนใหม่ทั้งหมด ( re-new ) เป็นทางออกแบบนึงแต่ไม่สามารถ การันตีได้ว่า 
ของที่ทำใหม่ จะดี / เทียบเท่าของที่มีอยู่เดิม ....

ทางออกที่เลือกสำหรับงานในบางครั้ง จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนจากการคิด
ที่จะ re-new เป็น renovation แทน ดังนั้นด้วย legacy code ต่างๆ 
ยกตัวอย่างเช่น Java AWT ก็ค่อนข้างเป็น Challenge ที่จะคิดว่า 
เราจะเอาอะไรมาเป็น replacement แต่ต้องได้ productivity เท่าเดิม ???


ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรที่จะศึกษาความเป็นไปได้ ก่อนที่จะทำเสมอ ...
เลยไปแอบอ่านเจอ บทความ เกี่ยวกับ Swing ขึ้นมา


 http://www.jroller.com/phidias/entry/is_swing_dead

เค้าก็เขียนได้ดีอะนะ ๕๕
โดยสรุปก็คือ ... ถ้า technology มันยังพอไปต่อได้ 
ถ้าเสีย effort ในการ renovate อย่างน้อย ก็ยังใช้น้อยกว่า renew อยู่ดี ...

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 28, 2553

[Blog] เมื่อ MBA vs MBP


ช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นมรสุมใหญ่ในหลายๆ เรื่อง
แต่เรื่องหลักๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องงาน กับ ค่าเทอมเรียนโทฯ 

แต่ก็มีเรื่องดีๆ ผ่านเข้ามาให้หัวใจได้พองโต บ้างเหมือนกัน ^^
ไว้จะเล่าใน Blog ต่อไปครับ :)

แต่ใน Blog นี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องกิเลสของตัวเอง (อีกแล้ว) 
เมื่อไม่นานมานี้ ศาสดาได้ นำเสนออุปกรณ์รุ่นใหม่ ที่มีชื่อว่า MBA ( MacBook Air )
ซึ่งเป็นรุ่นที่มีราคาถูกลงกว่าเดิมพอสมควร ... เมื่อเทียบกับน้ำหนักที่เบามากไม่ถึง 1.5 kg.
MBA ก็เป็น notebook  อีกตัวที่มีกิเลสอยู่พอสมควร ... 
ยิ่งได้ฟัง @Khajochi บรรยายถึงสรรพคุณแล้ว ...
ยิ่งเกิดกิเลส ... แต่ถึงยังไง ก็มี Plan ไว้แล้วว่าจะต้องถอย notebook สำหรับทำ IS อยู่แล้ว 
ตอนนี้ก็เลยดูๆ ไว้ก่อน เพราะยังไง ก็ต้องรอให้ proposal ผ่านก่อน
ถึงจะมานั่งคิดว่าจะืซื้อ notebook แบบไหน 
แต่ตอนนี้ก็มานั่งวิเคราะห์กันลืม เพราะหากเกิดกิเลส บ่อยๆ อาจจะหน้ามืดตามัว 
ถอยมาใช้ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ...

ด้วย spec ของ MBA 13" เมื่อเทียบกับ MBP 13" ในราคาที่ใกล้เคียงกันแล้ว
พบว่าส่วนที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ

1. น้ำหนัก ... 
MBA เบากว่้าเห็นๆ ...

2. RAM .... 
MBA ได้แค่ 2GB แต่ MBP ได้ 4GB

3. HDD .... 
จุดนี้ค่อนข้างสำคัญเพราะ MBA ได้เป็น Flash Storage ที่มีความเร็วน้องๆ SSD
แต่ MBP ได้แค่ HDD ธรรมดา ...

4. Back lit Keyboard
MBA รุ่นใหม่ ไม่ได้แถมมาให้ด้วย ... ซึ่งเป็นข้อที่ทำให้ค่อนข้างเขวหากคิดจะถอย MBA

5. CPU
ถึงแม้ MBA และ MBP จะมี CPU เป็น Core 2 Duo เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ speed ของ CPU
โดย MBP จะแรงกว่า นิดหน่อยครับ

ซึ่งถ้ามองกลับกัน หาก เงิน ไม่ใช่ตัวแปร ....
อยากได้ MBA ที่มี spec พอๆ กับ MBP จะต้องเพิ่มเงินประมาณ 8 พันบาท 
ถึงจะได้ spec ที่ไล่เลี่ยกัน .. แต่ด้วยมีเงินน้อย .... ต้องใช้สอยอย่างประหยัด ....
การเลือก MBP อาจจะเป็น choice ที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ก็ต้องรอดู mid 2011 ครับ ว่าจะมีตัวใหม่ออกมาอีกไหม .... 

ที่อยากได้ MacBook มาใช้เพราะจะได้เอามาลองทำอะไรหลายๆ อย่าง ...
จากที่เคย Failed กับ Product ของ Apple ตามมาด้วย Product ของ RIM 
ตอนนี้เลยกลับมาลองกับ Product ของ Apple อีกครั้งว่าจะเป็นเช่นไร ....

โดยส่วนตัว ไม่ค่อยได้เอา notebook มานั่งเล่นเกมส์อยู่แล้ว ... (ถึงจะมีบ้างบางครั้งคราวก็เถอะ)
แต่ถ้าการตัดสินใจซื้อ notebook ผิดพลาด ... ก็อาจทำให้เราเซ็งได้เหมือนกัน ....

วันอังคาร, ตุลาคม 26, 2553

รีวิว : Final Fantasy : The 4 Heroes of Light (NDS)



ช่วงชีวิตเวลาปิดเทอมนั้นแสนสั้น 
ไหนจะต้องทำ proposal (ที่ยังไม่ได้แตะ)
ไหนจะต้องปั่นงานที่ออฟฟิศ(ที่เยอะเป็นกองภูเขา)


แต่ก็ยังต้องมีเล่นเกมส์ ...
และอีกสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้ คือ ... คิดถึงเธอ ... #Hewww (เสี่ยวตลอดเวลา) อิอิ


ก็เล่นจบไปอีกเกมส์ สำหรับ Final Fantasy : The 4 Heroes of Light หรือที่รู้จักในภาษายุ่นชื่อ


Hikari no 4 Senshi: Final Fantasy Gaiden 
光の4戦士 ファイナルファンタジー外伝
"The Four Warriors of Light: Final Fantasy Side Story"



หลายชื่อมาก แต่จริงๆ เกมส์เดียวกัน .... ใน version ญี่ปุ่น 
ออกมานานพอสมควรแล้ว (ปีที่แล้ว) ซึ่งตอนนี้เพิ่งได้มี patch ภาษาอังกฤษ ออกมาให้เล่นกัน ...


ก็เล่นจบไปแล้ว 1 รอบ ... โดยรวมก็โอเค สนุกดี ... แยกตามหัวข้อละกัน


  1. เนื้อเรื่อง
    เป็นเนื้อเรื่องสุดแสนจะ classic คือ ตัวเอกเป็นชาวบ้านต้องไปช่วย เจ้าหญิง จากแม่มดใจร้าย ... 
    พอช่วยออกมา ทั้งเมืองกลับถูกคำสาปของแม่มด ทำให้กลายเป็นหิน เลยต้องผจญภัย
    หาวิธีรักษา ... แต่ไปๆมาๆ จะรักษาได้ มีเงื่อนไขเนื่องมาจาก Hero ยุคปัจจุบัน
    ถูกความชั่วร้ายเข้าครอบงำ ทำให้ ตัวเอกและพวกพ้อง
    ต้องสู้กับ ปีศาจ boss ใหญ่เพื่อขจัดความชั่วร้ายให้หมดไป (เลยเถิดไปเกิ๊น)

    โดยส่วนตัวถือว่าเนื้อเรื่องดูเหมาะดีสำหรับให้เด็กอายุ 12+ เล่น ... ใสๆ
    แต่ก็แอบ reuse map เยอะไปนิด จนรู้สึกว่า เนื้อเรื่องสั้นไปไม๊ ....
    และระหว่างเกมส์ มีการสลับตัวละครไปมา ทำให้วางแผน
    ที่จะ build job สำหรับตัวละครแต่ละตัวลำบาก หากจะเล่นจึงต้องคิดล่วงหน้าไว้ด้วย ...


  2. ระบบ
    ถือว่าทำออกมาดีพอสมควร ... ตัวเอกทั้ง 4 สามารถเปลี่ยน Crown เพื่อทำการเปลี่ยนอาชีพตัวละคร
    ทำให้ได้ skill ในแต่ละอาชีพมาใช้ เช่น นักเวทย์ขาว ลดการใช้เวทย์มนต์ขาว  1 AP ....
    โดย AP คือ Action Point หรือพูดง่ายๆว่า้เป็น turn-based ใช้ AP เยอะก็ต้องเสียเวลา Boost เยอะ ...
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มีอาชีพที่เอามาไว้เพิ่ม AP ด้วยเช่นกัน ... เวลาฆ่าบอส ในแต่ละ Chapter
    จะได้อาชัพมา ทีละ 2 อาีำชีำพ ซึ่งทำให้เรา นั่งลุ้นอยู่เรื่อยๆ ว่า อาชีพใหม่จะเจ๋งแค่ไหน ....

  3. กราฟฟิค + เอฟเฟค
    ทำได้ธรรมดา ไม่หรูหรา .. เท่าไหร่ ... เิพราะเน้นเจาะกลุ่มเด็ก(โข่ง) 
    เลยค่อนข้างจะออกสไตล์ น่ารักๆ โดยรวมก็ถึงเกณฑ์ที่เรียกว่า "น่าเล่น" ครับ
    (ตั้งแต่เล่นยังหาเวทย์ Aeroga ไม่ได้เลยให้ตายเหอะ)

ก็เป็นเกมส์ที่น่าเล่นอีกเกมส์ครับ ... 
ถ้าหาบทสรุปได้แนะนำให้ พิชิตหอคอย 100 ชั้นทั้ง 4 หอคอยเสียก่อน 
แล้วค่อยไปลุยบอสใหญ่ จะได้ไม่เสียเวลาเล่นหลายๆรอบ :)
(แต่กว่าจะผ่านแต่ละหอคอยเล่นกันข้ามปีเลยทีเดียว)
อ้อ เกมส์นี้ สามารถใช้ WiFi หาเพื่อนๆ ที่เล่นมาช่วยกันสู้ได้นะครับ
สามารถเอา point มาซื้อของพิเศษในเกมส์ได้ ... idea เจ๋งมากๆ ...




สุดท้ายแถม เวป บทสรุปให้ ( ภาค jap ) 
www.nintendothailand.com/viewtopic.php?f=46&t=11671