Pages

วันเสาร์, มิถุนายน 16, 2561

รีวิว Mi Band 3 vs Amazfit Stratos


ช่วงนี้ เทรน Fitness กำลังมา แถมคุณภรรยา มองหา gadget ที่ไว้ใส่เวลาออกกำลังกาย จึงมีโอกาสได้มาเขียนรีวิว อุปกรณ์ กันอีกครั้ง ....

โจทย์ตั้งต้นของการซื้อ Fitness Tracking


จริงๆ แล้ว ตลาด fitness tracking ในไทย มียี่ห้อดังๆ อยู่ หลายเจ้า อาทิเช่น Garmin , Suunto หรือ Fitbit โดยราคาก็แตกต่างกันไปตาม Feature ที่ให้ หรือแม้แต่ amazfit pace ที่ขายตาม official mi shop ก็ดูหน้าสนใจไม่น้อย แต่สิ่งที่ต้องการคราวนี้ แอบไม่ธรรมดา ตรงที่ "ต้องใส่ว่ายน้ำได้ด้วย" จึงทำให้ต้องทำการบ้านในการศึกษารีวิวไม่ใช่น้อย ...

ทำไมต้อง Mi Band 3 / Amazfit Stratos ?


 จากที่ไปตามอ่านในรีวิวแต่ละรุ่น/ยี่ห้อมา ... การที่จะหา fitness tracking ที่รองรับใส่ว่ายน้ำได้ด้วยนั้น จะต้องรองรับมาตรฐานขั้นต่ำ คือ 5ATM ซึ่ง fitness tracking ( ต่อไปขอย่อว่า FT ) ที่ผ่านมาตรฐานตัวนี้นั้น มีราคาเริ่มต้นที่ 5,000+ อันได้แก่

- Samsung Gear Fit 2
- Garmin Vivoactive
- Fitbit ซักรุ่นจำชื่อไม่ได้

ซึ่งแต่ละตัวนั้น บางรุ่นก็ built-in GPS บางรุ่นก็ไม่มี
หาข้อมูลรีวิวก็ลำบาก แถมบางรุ่นไม่ support iOS อีก เลยทำให้ตัดสินใจยากพอสมควร และถ้าจะฝห้เสถียรๆ ก็ต้องราคา 10k+ ที่ดูเหมือนจะไม่เหมาะกับ level 1 สักเท่าไหร่ ...

จึงเป็นเหตุที่หันมาดู Amazfit Stratos เป็นอันดับแรก

Amazfit Stratos ตัวเริ่มต้นสำหรับ (งบ) Beginner



ที่เรียกว่า (งบ) Beginner เพราะค่าตัวหลักพัน แต่ feature หลักหมื่น ... ทำอะไรได้บ้าง ?

- built-in GPS
- มีโหมด activity ในตัว ไม่ต้องพกมือถือขณะไปออกกำลังกาย
- ใส่เพลงแล้ว เล่นเพลงผ่าน หูฟัง BT ที่ paired ไว้ได้
- ชาร์จแบต 1 ครั้งต่อ 5 วัน (โดยประมาณ)
- วัด Heart Rate ( เดี๋ยวนี้น่าจะมีทุกรุ่น )
- App Notify / Call Notify
- ลงน้ำ 5ATM

ซึ่ง feature ที่มีคร่าวๆ เอาไปเทียบกับ ยี่ห้อดังๆ ราคาก็ 10k+ (ไม่รวมช่วงโปรโมชั่น) จึงทำให้ตัดสินใจไม่ยากเลยสำหรับตัวนี้ ... แต่ด้วย form factor ที่ค่อนข้างใหญ่ .... หากเทียบกับแขนผู้หญิงแล้ว ... ก็ไม่เล็กนะ.... หากคนใส่เป็นผู้หญิง ก็ต้องคิดไว้นิดนึง ... (แต่สุดท้ายคุณแฟนก็ใส่ แค่ไม่ชินช่วงแรกๆ)



Mi Band 3 สำหรับสาย Casual



หลังจากสั่งซื้อ amazfit stratos ปั๊บ mi band 3 ก็ออก ... ดูเหมือนสวรรค์ช่างกลั่นแกล้งนัก ... เลยสั่งมาใช้แก้เจ็บใจ ... แต่สิ่งที่ได้คือมันสู้ Amazfit Stratos ไม่ได้จริงๆ ...


เพราะถึงแม้จะลงน้ำ 5ATM ได้เหมือนกัน App/Call Notify เหมือนกัน แต่ activity ต่างๆ ยังคงต้องสั่งผ่านมือถือ และมีเพียง activity ง่ายๆ แค่ วิ่ง/วิ่งลู่/ปั่นจักรยาน เท่านั้น จึงเป็นไปได้ว่า ทาง mi ไม่ต้องการให้ line product มันทับกับบริษัทแม่อย่าง huami ก็เป็นได้ ...

สรุป 


สำหรับ level 1 อย่างเราๆ หากอยากได้ FT ที่ feature ดีๆ แต่งบไม่เยอะ ... ขอแนะนำให้ลองดู Amazfit ไว้พิจารณาครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณา)
ในเรื่องความแม่นยำ ... อันนี้บอกไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจหลักของ model ราคาว่า ... ยิ่งแม่นยำ ... ราคายิ่งสูง ... ดังนั้น หากต้องการให้แม่นยำในการวัดต่างๆ มากๆ แล้วล่ะก็ ... ข้ามๆ มันไปครับ

วันศุกร์, มีนาคม 31, 2560

[Blog] ประสบการณ์ทำงานที่เซี่ยงไฮ้ 9 วัน




เมื่อช่วงต้นปี 2015 ได้มีโอกาสไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ถึง 9 วันเป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งแรก
ในรูปแบบของการไปทำงานต่างประเทศ แบบไม่ตั้งใจจะไป (แหงแหละ)
จริงๆ เขียนไว้นานมากแล้ว ตอนนี้ได้ฤกษ์ เอาของดองมาปล่อยซักที ....

สภาพแวดล้อม


  1. อากาศเย็นมาก(แต่ไม่สุด) เหวี่ยงสูงสุดต่ำสุดจาก 12 ถึง 4 องศา หน้าร้อน น่าจะร้อนแบบอบๆ แต่คงไม่ร้อนแบบแสบผิวเหมือนที่ไทย ...
  2. เดินทางด้วย รถไฟใต้ดิน สะดวกมาก และ ถูกมาก เมื่อเทียบกับเมืองไทย ( 4 หยวน ไปได้ 7-8 สถานี )
  3. แทกซี่ เรียกยากไม่แพ้พี่ไทย(ถ้าไม่รุ้ภาษาจีน) ... แต่ไม่รู้ว่ามีโกงมิเตอร์หรือเปล่า อย่างมากคงแค่ขับวน
  4. เมืองจีนขับรถฝั่งซ้าย ... ดูถนนลำบากหน่อย


  5. ทางม้าลาย คือ ทางม้าลาย ... คือจะข้ามเค้าก็หยุดให้ข้าม อย่างมากระวังแค่พวกรถเลี้ยว 
  6. ไฟแดงรถจอดสนิท แม้ถนนจะโล่งแค่ไหนก็ตาม แต่มีบ้างพวกแหกไฟแดง
  7. มีทางจักรยานแยกชัดเจน ... ถนนใหญ่ๆ ก็ 10 เลน .. ฝั่งละ 5 เป็นรถ 4 เลน จักรยาน 1 เลน
  8. หากเป็นถนนโซนสถานีรถไฟ ... จะรู้สึกว่าถนนแคบลง เพราะมันจะหายไปสองเลน ...
  9. จอดรถแก้ปัญหาด้วยเงิน .... จอดตรงไหนเสียตังแทบทุกที่ ... จอดฟรีริมถนน คนจีนที่พาทัวร์เค้าบอกไม่แนะนำ เพราะมันไม่ปลอดภัย 
  10. ถ้าโซนห้างจะดีหน่อย มีป้ายบอก slot จอดรถว่างเท่าไหร่ ตั้งแต่ยังไม่เข้าตึก
  11. สวนสาธารณะเสียตังค่าเข้า (ไม่ได้เข้า)
  12. ใช้แตรกันหนักมาก ... แต่ก็นะ ... มอไซด์บ้านเข้าไม่ค่อยมีเสียงเครื่องยนต์ อาจจะเพราะว่าเป็นไฟฟ้า ทางที่เดินบนถนนต้องระวังหน่อย
  13. รถไฟฟ้า มีเบียดบ้างตามภาษาเมืองประชากรเยอะ ...
  14. ห้างปิด 3-4 ทุ่ม รถไฟฟ้าปิด 4 ทุ่มครึ่ง ... ถ้ามัวโอ้เอ้ ... taxi สถานเดียว
  15. ถนนบางเส้นกลางคืนจะมืดมากกกกกก แต่ยังมีคนเดินคนเดียว แม้ทางจะเปลี่ยว ...  
  16. ของขายบนสะพานลอย สภาพยังดูดีกว่าบ้านเรา

อาหารการกิน


  1. อาหารจีน ... มัน และ จืด/เค็ม ตามคำล่ำลือ ... แต่น่าจะอยู่ที่สั่งมากกว่า
  2. บ้านเค้าข้าวจานละ 100+ บาท ( 1หยวน=5บาท ) ... ถ้าไม่กินหรู .. 50 หยวนก็ได้ 1 อิ่มใหญ่
  3. ถ้าไปลองเนื้อแกะ ... แนะนำอย่าเอาเสื้อหนาวเข้าไปด้วย ... แล้วจะหาว่าไม่เตือนเรื่องกลิ่น(ถ้าชอบก็โอเค...)
  4. สั่งน้ำไม่มีน้ำแข็งเสิร์ฟ ... ต้องขอตังหาก ยกเว้นบางร้านสั่งโค้ก มีน้ำแข็งมาให้ด้วย
  5. อย่าริไปลองขาหมู ที่เซี่ยงไฮ้ ... เพราะมันไม่ใช่แหล่ง 
  6. แกงจืด คือ แกงจืด ... อย่าคาดหวังว่ามันจะเค็ม
  7. พกทิชชู่ไว้กับตัวเสมอ .... สำคัญมาก ... เพราะร้านอาหาร มันไม่ฟรี ...
  8. อะจิเซน ราเมง ให้ความรุ้สึกเหมือน ฮาจิบัง+ยามาโกย่า คือ บริการรวดเร็วแถมอร่อยอีกตังหาก
  9. อย่าไปริกินอาหารไทย นอกประเทศ ... เราเตือนคุณแล้ว (แกงเขียวหวานจานละ 200หยวน )
  10. เนื้อหมูจะมีกลิ่นแปลกๆ .. แต่คิดว่าน่าจะเป็นที่ร้าน..
  11. กินเนื้อวัวได้ ชีวิตจะเป็นสุข ... เพราะ highlight บางร้านจะเป็นเนื้อวัวมากกว้าเนื้อหมู
  12. เนื้อไก่ ... subjective มากๆ ... หากินยากหน่อย 
  13. หน่วยตาชั่งที่นี่ใช่ ปอนด์ (lbl) convert ให้เรียบร้อยก่อนสั่งอะไร .. 
  14. ยืดอกพกถุง(หิ้ว) สำคัญมากเช่นกัน ถุงก๊อปแกป แบบถุงเซเว่นที่นี่ไม่ฟรี

อื่นๆ


  1. ถ้าใช้ภาษามือเกี่ยวกับตัวเลข ... ต้องระวังหน่อย ...
  2. ที่เที่ยวเยอะ ... แต่บางที่ที่มีแนะนำตามเวป เวลาถามคนจีน เค้าถามกลับว่า "ยู อยากไปจริงๆเหรอ มันไม่มีอะไรนะ"
  3. ห้องน้ำ .. ยังขึ้นชื่อเสมอ ... (ปวดหนักกลับ โรงแรมสบายใจกว่า)
  4. ถ้าหน้าอาตี์ อาหมวย ... ฝึกภาษาจีนที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปหน่อย จะเป็นประโยชน์มาก 
  5. เข้าร้านสะดวกซื้อแต่ละครั้ง แนะนำให้ทำการบ้านคำนวณราคาไปก่อน ... เหลือเศษ 0.1 หยวนกลับไทย แล้วจะรู้สึก ...
  6. ความสูงโดยกะจากสายตา = 165-180 ..
  7. บัตรเครดิต ถ้าคิดจะใช้ ... ให้หาของที่เป็น UnionPay .... visa / master / amex ... ไปลุ้นเอานะ
  8. ป้าย sale จะเขียนราคาที่เหลือหลังจากลดแล้ว ( ลด 30% จะเขียนบนป้ายว่า 70% ) และไม่มีแปะป้ายทับว่าราคาลดแล้วเท่าไหร่ 
  9. แบรด์เนม ... ราคาไม่ค่อยเป็นมิตร .... อย่าคาดหวังว่าจะถูกกว่าถ้าไม่ลดราคา

สรุป

ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวอีก ... ก็น่าไป เพราะค่อนข้างเหนือความคาดหมายสำหรับชื่อเสียงในด้านต่างๆ
แต่คงต้องดูสภาพอากาศเป็นหลัก เพราะหลังจากกลับมา เป็นไข้ไอ 100 วันกันเลยทีเดียว ...

วันอังคาร, สิงหาคม 02, 2559

[Blog] One Year War (part 1/3) : Typescript



เมื่อช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว ... อันเนื่องมาจาก Oracle ประกาศลอยแพ Java Plugins บน Browser ...  
เลยทำให้ได้มีโอกาส(เริ่ม)ทำ SPA แบบที่เป็น Modern Technology ที่มีอยู่ในท้องตลาดอย่าง AngularJS และ Typescript ที่เรียกได้ว่าช่วงนั้น ปังสุดๆ ก็ว่าได้ ...  

จนมาถึงวันนี้ ก็ถือว่าประสบการณ์ 1 ปีแล้วสำหรับ AngularJS และ Typescript .. 
เลยคิดว่าได้เวลามาเขียนรีวิว จริงๆ จังๆ ซะที ...

ด้วย Background การทำ web ที่มีอยู่แล้ว
อะไรที่ Simple ๆ จะขอข้ามไปเพราะคิดว่า search google 
ยังไงก็เจอ tutorial แบบ Copy and Paste ได้อยู่แล้ว

ทำไมถึง One Year War ?

การสู้รบปรบมือ เป็นเรื่องธรรมดามากหากเราหัดใช้ Tech ใหม่ๆ
มีทั้ง Surprise หลายๆ อย่างที่เจอระหว่าง Dev ไม่ว่าจะเป็น Typescript Transpiler หรือแม้แต่ AngularJS ที่ไม่คิดว่าจะมีปัญหาก็ต้องมาเจอกับปัญหา Performance ที่เกิดจากเขียนแบบ Noob Noob


Typescript ดียังไง ?

หากเคยเขียน Type Language มาก่อน อย่างเช่น JAVA หรือ C# หรือแม้แต่ PHP ...
การที่ตัวแปรมี Type นั้นทำให้เราจัดการกับ Data ที่เก็บอยู่ในตัวแปรนั้นๆ ได้อย่างสบายใจ
ซึ่งผิดกับ javascript ที่ไม่มี Type หรือแม้มี Type ก็มีพวก Object
หรือ Define Type ที่การใช้งานค่อนข้างจะลำบาก และ ไม่มี Hint Assist ใน IDE ทั่วๆ ไป

Typescript จึงมาช่วยในส่วนที่ขาดของ Javascript เหล่านั้น ดังเช่น
การทำ IIFE (immediately-invoked function expression) 
ถ้าเป็น Typescript เราสามารถเขียนได้ดังต่อไปนี้

namespace Hello {
  export function world() {
  }
}
เมื่อทำการ Transpile ผ่านพวก tsc ให้เป็น Javascript ปกติ ... เราจะได้ code แบบนี้

var Hello;
(function (Hello) {
    function world() {
    }
    Hello.world = world;
})(Hello || (Hello = {}));

ดูดีเลยทีเดียว ...
แต่ส่วนตัวที่คิดว่า Highlight ของ Typescript นั้น
น่าจะอยู่ที่ Feature ที่ทำให้เรา เลิกที่จะเขียน ....

var that = this;

โดยการใช้แบบนี้ แทน ....

 แล้ว Code ที่เราจะได้ คือ ....


จะเห็นว่า Typescript ทำการ Wrap inner function ด้วย IIFE ให้
ซึ่งทำให้เราลดการเขียน var that = this ไปได้หลายบรรทัดเลยหากเราเขียนเป็น Class ...

ไปลองเล่นตาม Play Ground ได้ที่นี่ - https://www.typescriptlang.org/play/index.html


ข้อเสีย Typescript ?

แน่นอนว่าภาษาที่ต้องใช้ Compiler/Translator มันมักจะไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ ....
เนื่องมาจาก Typescript โดยพื้นฐานเป็นการทำ Javascript ให้มี "Type"
ดังนั้นหากเราต้องการใช้ Javascript Library จึงจำเป็นที่จะต้องมี "Type" เสียก่อน
โชคยังดีที่มี DefinitelyTyped ซึ่งเป็นที่รวม "Type" ของ Javascript Library
ที่มีคนอาสา Define "Type" มาให้ ซึ่งถ้าหาก Library ที่เราใช้ ไม่ Popular พอ ...
เราก็ต้องทำ Type ขึ้นมาเอง แต่จุดเริ่มต้นที่ดี คือไปลองหาใน repo นั้นก่อน หรือผ่านทาง Typings

และแม้ว่า tsc จะสามารถทำ sourcemap ที่เกิดจากการ transpile typescript ให้เป็น javascript
แต่ในบางครั้งการที่เราจะ debug typescript นั้นก็ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก ....


สรุป

การใช้ Typescript ทำให้การเขียน code javascript เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
แต่ก็แลกมากับ overhead ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการ Transpile หรือแม้แต่ Debug ....
หากจะนำ Typescript ไปใช้ อาจจะต้องดูว่า ทีมที่ทำนั้นมีประสบการณ์ Javascript มามากน้อยแค่ไหน
ถ้ามาจากฝั่งพวก Java หรือ Type Language เพื่อมาเริ่ม project ใหม่
ที่เป็น javascript ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะนำมาใช้ครับ

แต่ถ้า โปร javascript อยู่แล้ว  ... หรือเขียน module style แบบ NodeJS ....
ข้ามๆ มันไปเถอะ ถ้าไม่ได้จะใช้ AngularJS 2  lol

วันพฤหัสบดี, กันยายน 17, 2558

รีวิว : Mi WiFi Nano - จิ๋วแต่แจ๋ว


เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ได้รับ Mi WiFi Nano ที่สั่งมา เร็วกว่ากำหนดการปกติ
เลยได้เวลาลัดคิวมาเขียนรีวิวกันก่อน อุปกรณ์ของ xiaomi ตัวอื่นๆ เลย :P

Mi WiFi Nano เป็น WiFi Router รุ่นเล็กสุดของ Xiaomi ที่
สนนราคารวมค่าขนส่งแล้วประมาณ 790 บาท
ที่ว่าเล็กสุดนั้นเล็กขนาดไหน ... มาเทียบขนาดกับซองใส่บัตรปกติได้เลย


ด้วยขนาดเท่าที่เห็น LAN port ของ Mi WiFi Nano จึงมีเพียง 2 LAN และ 1 WAN port ที่ 1/100M


power port ของ Mi WiFi Nano จะเป็น micro usb ซึ่งสามารถทำงานได้ประมาณ 30 ชั่วโมง
เมื่อเสียบกับ powerbank ขนาด 10000 mAh



ทาง Xiaomi เคลมว่าแม้ขนาดจะเล็กขนาดนี้ แต่ด้วย spec ที่อัดมาให้ ...
ถ้าเทียบรุ่นที่ราคาใน range เดียวกันแล้ว ....จะเห็นได้ว่า Xiaomi จัดมาให้เต็มจริงๆ


เอาแค่ Xiaomi เคลมคงไม่ได้ มาวัดของจริงกันเลยดีกว่า ....
เพื่อความเท่าเทียม ... router ที่ทำการ เทส จึงวางไว้ตำแหน่งเดียวกันไว้ที่ชั้น 1
ซึ่งจุดที่เทสจะอยู่ในห้องนอน ชั้น 2 ซึ่งอยู่คนละด้านของบ้าน ...


โดย router ที่ทำการเทส มีดังนี้ครับ

  • Asus RT-N66u ( vavar-home )
  • Mi WiFi Router Mini ( mi-wifi_2.4G )
  • Mi WiFi Router Nano ( mi-nano )
ผลที่ออกมาได้แก่ ....


จากเท่าที่ลอง refresh / scan หลายรอบ .... Mi WiFi Router Mini ใช้ channel เดียวกับชาวบ้านซะเยอะทำให้สัญญาณโดนกวนเยอะพอสมควร ซึ่งเทียบกับ Asus RT-N66u กับ Mi WiFi Router Nano แล้วนั้น ค่อนข้างสูสีกัน ... เมื่ออยู่ใน Channel ที่ไม่ได้โดนรบกวน ... (แต่ราคาต่างกัน 4-5 เท่า)

สำหรับ Mobile App ที่ใช้กับ Mi WiFi Router Nano นั้น ตอนนี้ยังไม่สามารถใช้ได้ 
ต้องรอลุ้นกันต่อไปครับ

สรุป


ด้วย ราคาและขนาดของ Mi WiFi Router Nano จะเห็นได้ว่า 
Xiaomi ยัด Router ขนาดเท่าซองใส่บัตรได้จัดเต็มมาก แม้ว่าจะต้องรอ Mobile App 
และการ Config แบบต้องใช้ Google Translate ภาษาจีนใน Router ก็ตาม ...

ข้อดี 
  • ขนาดเล็ก ราคาถูก​ (ที่จีน)
  • spec ให้มาแบบจัดเต็มใน range ราคาเดียวกัน
  • ความแรงสัญญาณ สูสี เมื่อเทียบกับรุ่นใหญ่
  • เหมาะเอามาทำ WiFi Repeater สำหรับคนที่ยังไม่มี Mi WiFi Router
ข้อเสีย
  • เมนู ภาษาจีน (ถ้าอ่านไม่ออก)
  • ยังไม่มี Mobile App รองรับเหมือน Mi WiFi Router Mini
  • ใช้เวลาในการ Reboot ค่อนข้างนาน (30 วิ) เมื่อเทียบกับ Mi WiFi Router Mini (ใช้งานได้ทันที)

วันศุกร์, กันยายน 04, 2558

รีวิว : Mi WiFi Router Mini #2 - ความเจ๋งอยู่ที่ mobile !




หลังจากรีวิวครั้งที่แล้ว ถ้าดูตาม feature router ธรรมดาก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเด่นสำหรับ Mi WiFi Router Mini เมื่อเทียบกับยี่ห้อที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว ก็เลยลองไปนั่งโหลด mobile app มาใช้ดู แทบจะอยากเลิกบ่นเรื่องภาษาจีนใน blog ที่แล้วเลยทีเดียว ...



Mi Router App เป็น Mobile app ที่ใช้สำหรับ Xiaomi Router ทุกตัวไม่ว่าจะเป็น ตัวให​ญ่สุดไปจนถึงนาโน จุดที่หลุดไปเมื่อ รีวิวคราวที่แล้วคือ Xiaomi มีการทำ Dynamic DNS ให้กับ Router เราโดยผ่าน Xiaomi Account ซึ่งทำให้เราสามารถ เข้าถึงอุปกรณ์ทุกตัวที่ลงทะเบียนไว้ ได้จากทุกที่ที่มี internet !!
หลักๆ แล้ว มีหน้าตาประมาณนี้


Menu หลักๆ จะมี 4 menu คือ Router / Storage / Online / Plug-ins โดยจะขอข้าม Online นะครับเนื่องจากเป็น การ download content ภาษาจีน lol

Router Menu


เป็น Menu ที่ใช้บอกสถานะ ว่ามี Device อะไรต่ออยู่บ้าง การต่อพ่วงอุปกรณ์ รองรับการต่อแบบ WPS ได้ด้วย เมื่อ click แต่ละ device เข้าไปจะเจอเมนู จัดการ permission ของ device นั้น ซึ่งจัดมาให้แบบครบๆ 



ไม่ว่าจะเป็น ไม่ให้ต่อเนต / เข้าใช้ content ของ router / แจ้งเตือนเวลา device นั้นๆ ต่อ / block 
หรือแม้แต่ QoS ก็มาพร้อมๆ ให้ set ในจุดเดียว

Storage Menu



ใน Storage Menu จะมีเมนูด้านบน 2 menu ด้านซ้ายสำหรับเลือก storage ด้านขวาสำหรับจัดการ  storage ปัจจุบัน ในการเข้าถึง content บน router นั้น device ที่จะใช้ต้องมี permission ที่ตั้งไว้ในหน้าจอ Router Menu ก่อนถึงจะสามารถใช้งานได้ครับ เป็น uPnP ปกติ

Plugins Menu



ในส่วนของ plugins จะมี menu ให้ทำการ setting ค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น password  WiFi
หรือแม้แต่การตั้งเวลา sleep / reboot



Network Optimisation 

เป็นอีก Feature ยอดฮิตสำหรับ WiFi ตามบ้านที่ช่วยทำให้เราสามารถใช้สัญญาณ WiFi ได้เต็มประสิทธิภาพโดยเลี่ยงจากการโดนสัญญาณ WiFi จากบ้านอื่นมารบกวน
ให้น้อยที่สุด Mi Router App ก็มี feature นี้มาให้ใช้กันได้เลยทันที


Bandwidth Management



ถ้าเป็น Router ปกติเรามารถ set ได้จาก QoS menu แต่ Mi Router App ก็มี Feature นี้ให้มาพร้อมกับวัด speed ณ ปัจจุบันให้ด้วยว่าเราได้ speed จาก ISP มาเท่าไหร่ ... ( เนต 10mb ทำไมได้แค่ 8 ฟระ )

Phone Backup

Feature นี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปเยอะๆ แต่ไม่ได้ใช้ Cloud Storage อย่าง Google Photo โดย Mi Router App จะทำการ backup รูปที่เรามีไปใส่ไว้ใน storage ของ Router ให้ทันทีเมื่อต่อเข้า WiFi กลัวมือถือโดนขโมย แล้วรูปหาย ... อันนี้เด็ดมาก 

สรุป


จากสองรีวิว สรุปได้ว่า Mi WiFi Router Mini เป็นอีกตัวเลือกสำหรับ WiFi Router ที่ใช้ในบ้าน 
ในราคาสบายกระเป๋า แต่จัดเต็มมาด้วย dual channel n/ac พร้อมกับ Mobile App ที่พร้อมใข้งาน
กับ IoT ( internet of things ) Product อื่นๆ ของ Xiaomi .... เรียกได้ว่า convergence มากๆ
ต้องรอดูว่า Xiaomi จะขับเคลื่อน model นี้ได้เท่ากับ ecosystem ของ apple หรือไม่ ดูกันยาวๆ :)


ข้อดี 

- WiFi dual channel n/ac - iphone 5 ต่อได้แค่ n ... เศร้าไป
- Mobile App / Photo Backup / UPnP
- Bit ได้แต่ยังไม่ได้ลอง .. lol
- รองรับ WiFi Extender USB ( ประมาณ 650 บาท ต่อชิ้น )
- ราคาถูก

ข้อเสีย

- LAN port 1/100 ( ไม่ได้ gigabit LAN เมื่อเทียบกับ ASUS )
- ระยะ WiFi ประมาณ 60 เมตร แม้ตั้งค่าแบบทะลุกำแพงแล้ว
- web-base app  ยังไม่มีภาษาอังกฤษ
- เครื่องหิ้ว ... ประกันที่จีน 1 ปี เสียทีซื้อใหม่ น่าจะคุ้มกว่า


วันพุธ, สิงหาคม 26, 2558

รีวิว : Mi WiFi Router Mini


ห่างหายไปนาน(มาก) มาวันนี้มีภารกิจที่ต้องรีบรีวิว Mi WiFi Router Mini ตัวนี้ครับ ...
ดองไว้นานเกินไปแล้ว lol

ช่วงหลังๆ มานี้ต้องยอมรับว่า Xiaomi มีของเล่นมาให้ดูดตังบ่อยเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นลำโพง
หรือพวกอุปกรณ์เพื่อสุขภาพต่างๆ แต่ที่น่าสนใจคือ Xiaomi เองแทบจะทำสินค้าหลายแนวมาก
แต่ที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้น WiFi Router ซึ่งค่อนข้างเป็นหัวใจหลัก
ในการใช้อินเตอร์เนตเลยทีเดียว

ว่าด้วย Spec ของเจ้า Xiaomi WiFi Router นี้ แบบคร่าวๆ สำหรับชาว IT มีดังต่อไปนี้
Xiaomi Mi Wi-Fi Mini router specifications:
  • Wi-Fi SoC – Mediatek MT7620A @ 580MHz
  • System Memory – 128 MB DDR2
  • Storage – 16 MB SPI flash memory
  • Wi-Fi
    • Protocols – IEEE 802.11a/b/g/n/ac
    • Transmission Rate – 300Mbps max @ 2.4GHz, 867 Mbps max @ 5GHz
    • Wireless Security – WPA-PSK/WPA2-PSK encryption
    • 2.4 GHz Channels: 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ,11, 12, 13;
    • 5 GHz Channels: 149, 153, 157, 161, 165;
    • 5 GHz DFS (dynamic frequancy selection) channels: 36, 40, 44, 48, 52, 56, 60, 64;
  • Ethernet – 2x LAN (Fast Ethernet), 1x WAN (Fast Ethernet)
  • USB – 1x USB 2.0 host port for external mass storage or 3GB dongle
  • Power – 5V?
  • Dimensions – 14.9 cm x 13.8 cm x 3 cm
  • Weight – 253 grams


Read more: http://www.cnx-software.com/2014/09/03/xiaomi-mi-wi-fi-mini-802-11ac-router-can-now-be-purchased-for-45/#ixzz3jqf02evV
แต่ถ้าเอาสรุปคร่าวๆ แบบชาวบ้าน คือ
WiFi Router ที่ปล่อย สัญญาณ WiFi ในโหมด n และ ac ได้พร้อมๆ กัน และทำ media server ได้ด้วย โดยสนนราคา ค่าตัวไม่ถึง 1500 ....

ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นใหญ่อย่าง RT-N66u แล้วอาจจะมอง Mi WiFi Mini
เป็นของเล่นไปเลยก็เป็นได้มาดูกันดีกว่า


ด้วยตัวกล่องของ MI WiFi Mini ไม่ได้ใหญ่มากนักประมาณ ครึ่งกระดาษ A4
เท่าที่สังเกตสินค้าหลังๆ ของ Xiaomi ถ้าราคาเกิน 150 หยวนและชิ้นไม่ใหญ่มาก
จะมีการ seal พลาสติกใสมาให้ เพราะต้องยอมรับว่า Xiaomi ก็เป็นแบรนด์จีนที่โดนเพื่อนร่วมชาติ
ก๊อปของมาขายเหมือนกัน การ seal สินค้า หรือพวก sticker ยืนยันว่าของแท้นั้น จึงมีให้เห็นบ่อยๆ
กับแบรนด์ดังในจีน


เมื่อเปิดออกมาจะเห็น Router เลยซึ่งในกล่องค่อนข้างขี้เหนียว ไม่ให้สาย LAN มาซักเส้น >.>
แนะนำว่าก่อนติดตั้งต้องหามาเผื่อไว้ครับ



เมื่อต่อเสร็จหน้าตาจะประมาณนี้ ค่อนข้างเหมือน magic trackpad แบบใส่เสามากเลยทีเดียว ...



ซอฟแวร์ที่รีวิว จะเป็น version 2.4.9 stable ครับ สามารถหาโหลดได้ตาม link นี้
ตัว ROM เองถ้าเป็น dev version จะมีตัวใหม่ให้เล่นทุกสัปดาห์ แต่ถ้าเป็น user ธรรมดา แนะนำตัว  stable ครับ ช้าหน่อยแต่ไม่ต้อง update ถี่


หน้าจอหลักๆของการทำงานจะมี ดู Router Status / Memory Status / Common Setting และ Advance Setting โดย Common Setting จะเป็นการตั้งค่าการทำงานปกติทั่วไปเช่น การตั้งค่า WiFi / Mode การทำงาน หรือ รหัสผ่านต่างๆ ที่ใช้ในระบบ




ระบบความปลอดภัยของ Mi Wifi Mini นั้นจะใช้ password wifi ในการเข้าถึงการตั้งค่าของ router ได้ แต่หากต้องการตั้ง password สำหรับ admin ก็สามารถทำได้เช่นกันใน Security Center



Mode การทำงานของ Router จะมี สาม โหมดได้แก่



  • WiFi Router ปกติ
  • WiFi Repeater ไว้ขยายสัญญาณในกรณีมีจุดอับสัญญาณ
  • WiFi Relay ไว้ขยายสัญญาณ เช่นกัน แต่จะเป็นการต่อ WAN port จาก router อีกเครื่อง

สำหรับ Advance Setting จะเป็นการตั้งค่าเกี่ยวกับ QoS / DDNS หรือพวก port Forwarding
ที่คนธรรมดา ไม่ค่อยได้ set กัน


การตั้งค่าส่วนใหญ่ก็จะมีตามมาตรฐาน สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือ ความแรงของสัญญาณ WiFi ...
โดยสัญญาณ ที่ปล่อยออกมานั้นจะเป็นแบบ Dual Channel ( b/g/n กับ ac )
ซึ่งอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะรับ b/g/n ได้อยู่แล้ว สำหรับ ac นี่
คงมีแต่พวก high-end device อย่าง iPhone 6 เป็นต้นครับ


อนึ่ง ขณะที่รีวิวนั้น ได้นั่งอยู่ข้าง Router สัญญาณที่ได้รับเลยอาจจะดีเป็นพิเศษ
แต่ตัว Router เองก็มี config ให้เราตั้งได้ว่าต้องการสัญญาณแรงแค่ไหน ...
ไว้ได้ลองอีกรอบจะเอามา update ให้ครับ

จุดลำบากที่สุดของการใช้ Mi WiFi Router Mini คงหนีไม่พ้น เมนูทั้งหมดเป็นภาษาจีนครับ ...
แต่เรายังไม่สิ้นหวังขนาดนั้นเพราะว่า เรามี Google translate !! หากใช้งานจริงๆ เราสามารถ config wifi แบบดำน้ำไปก่อน แล้วค่อยมา ตั้งค่าละเอียดทีหลังก็สามารถทำได้
และมี Mobile App ที่ใช้ในการตั้งค่าได้ด้วย

สรุป

ถือว่าเป็นเล็กพริกขี้หนู ที่มีของในรุ่นใหญ่ให้มาแบบเกือบจัดเต็ม
แต่จุดยากคงหนีไม่พ้น เมนูภาษาจีน ที่อาจจะทำให้น่ารำคาญ ไม่มาก ก็น้อย ....